ความร่ำรวยที่มั่นคงยั่งยืนควรเรียบง่ายและไม่ซับซ้อน เพราะการใช้ชีวิต และวิธีคิดจะส่งผลต่อความร่ำรวยของคุณ ในทางการเงินส่วนบุคคล เราจะนิยามความร่ำรวยจากความมั่งคั่งสุทธิ หรือ Net Worth ซึ่งคำนวณโดยนำสินทรัพย์รวมทั้งหมดหักด้วยหนี้สินรวม เหลือเท่าไหร่จึงเป็นส่วนของเรา ดังนั้นปัจจัยที่ส่งผลให้เรามั่งคั่งร่ำรวย จึงไม่ได้มาจากการมีรายได้ที่ดีแต่เพียงอย่างเดียว แต่จะต้องประกอบไปด้วยปัจจัยทั้งสี่ดังนี้
- รายได้
- เงินเก็บ
- การลงทุน
- ชีวิตที่เรียบง่าย
สี่ปัจจัยดังกล่าว ปัจจัยใดที่เป็นจุดแข็งก็เสริมให้แข็งแกร่งขึ้นไป ปัจจัยใดที่ยังเป็นจุดอ่อนก็ต้องสะสมความรู้เพิ่มเติมให้แข็งแรงยิ่งขึ้น ซึ่งในบทความนี้จะขอนำเสนอแนวคิดเรื่องการลงทุนที่เรียบง่าย ร่วมกับการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย เพื่อให้เกิดความร่ำรวยที่เรียบง่ายนั่นเอง
เมื่อพูดถึงการลงทุน หลายคนอาจจะนึกออกแต่เพียงการลงทุนทำธุรกิจหรือการลงทุนในสินค้าการเงิน เช่น หุ้น เท่านั้น แต่แท้ที่จริงนั้นการลงทุนมีนัยยะที่กว้างไกลกว่านั้น
หลักการสำคัญของการลงทุนคือ “การเลื่อนการบริโภคหรือการใช้เงินในวันนี้ออกไป เพื่อที่จะสามารถบริโภคหรือใช้เงินได้มากขึ้นในวันข้างหน้า” แต่ “การลงทุน” นั้น ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเรื่องของเงินทองแต่เพียงอย่างเดียว เรื่องอื่นๆ ที่เราสามารถเลื่อนออกไปในตอนนี้เพื่อที่จะสามารถใช้ได้มากขึ้นหรือดีขึ้นในวันข้างหน้า ก็เป็นการลงทุนเหมือนกัน หนึ่งในนั้นก็คือการลงทุนกับ “สุขภาพ” นั่นก็คือ การลงทุนในเรื่องของการ “ใช้” ร่างกายและจิตใจในวันนี้อย่าง “ถนอมรักษา” เพื่อที่จะได้สามารถใช้มันได้มากขึ้นหรือดีขึ้นในวันข้างหน้า เมื่อร่างกายของเราเข้าสู่โหมดเสื่อมโทรมตามอายุของเรา
การลงทุนในสุขภาพนั้น นอกจากการใช้ร่างกายอย่างถนอมรักษาแล้ว ยังหมายรวมไปถึงการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมกับร่างกายและสม่ำเสมอ การเลือกกินอาหารที่ดีและเป็นประโยชน์ การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ และการดูแลรักษาใจให้สงบนิ่งและเป็นสุขด้วย กล่าวโดยสรุปคือต้องดูแลทั้งสุขภาพใจและสุขภาพกายให้แข็งแรงนั่นเอง
ถ้าเรามีการลงทุนอย่างเหมาะสมทั้งในเรื่องการเงินและสุขภาพตั้งแต่อายุยังน้อย โอกาสที่เราจะมีความสุขในชีวิตตลอดชั่วอายุขัยจะมีมากขึ้น แต่ถ้าเราไม่ลงทุนหรือลงทุนน้อย ชีวิตเราอาจจะมีความสุขมากในช่วงอายุน้อยที่ยังมีสุขภาพแข็งแรงดีอยู่ แต่เมื่อแก่ตัวลง หากมีสุขภาพที่ไม่แข็งแรง ความสุขแทบจะไม่เหลือ เราจะลำบากตอนแก่
“ไม่มีประโยชน์อะไรถ้าเรารวยเป็นร้อยล้าน พันล้าน แต่เรามีสุขภาพที่ไม่ดีไปเสียแล้ว เงินที่ได้มาต้องหมดไปกับค่ายา ค่าหาหมอ นี่ไม่ใช่การประสบความสำเร็จที่แท้จริง”
ในอดีตเราอาจจะมีการแบ่งฐานะโดยใช้สายเลือดและฐานันดร ถัดมาในยุคทุนนิยม ซึ่งเป็นยุคแห่งการบริโภค การแบ่งแยกสถานะของมนุษย์ก็คือข้าวของเครื่องใช้ที่เกิดจากการบริโภคของเรา เช่น การมีบ้านหลังใหญ่ การขับรถหรู หรือการใช้สิ่งของแบรนด์เนม ก็มักจะถูกมองว่าอยู่ในอีกสถานะหนึ่ง ที่เรียกว่าคนรวยนั่นเอง อย่างไรก็ตามกลุ่มคนที่มีรายได้สูงในปัจจุบันไม่ได้มุ่งเน้นไปที่ข้าวของที่หรูหราอีกต่อไป แต่จะหันไปลงทุนในสิ่งที่มีความซับซ้อนขึ้น เช่น วัฒนธรรม การศึกษา การดูแลสุขภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงออกถึงรสนิยมที่ซับซ้อนมากขึ้นของคนรวยยุคใหม่
สอดคล้องกับงานสำรวจของ Currid-Halkett เมื่อปี 2017 ที่ได้สำรวจการใช้จ่ายเงินของกลุ่มคนที่มีรายได้สูง ที่เป็นคนรวยรุ่นใหม่ของอเมริกา พบว่าคนรายได้สูงในอเมริกามีแนวโน้มจะลงทุนกับสิ่งอื่นๆ เช่น การศึกษามากกว่าความฟู่ฟ่าหรูหรา นั่นก็เป็นเพราะว่า “ตัวเรานั้นเป็นสินทรัพย์ที่มีค่ามากที่สุดแล้ว” ความรู้ความสามารถของเราจะนำมาซึ่งการมีรายได้และมีโอกาสที่ดี เมื่อมาผนวกกับการมีความรู้เรื่องการวางแผนการเงินที่ดี ที่ถูกต้อง คุณก็จะประสบความสำเร็จและมีความมั่งคั่งร่ำรวยอย่างยั่งยืนได้
การลงทุนในเรื่องถัดมา คือ การลงทุนไปกับวัฒนธรรม ซึ่งทุนทางวัฒนธรรมเป็นทุนอีกประเภทหนึ่ง อันเกี่ยวข้องกับคุณค่าความรู้ ภูมิปัญญาและงานสร้างสรรค์ เป็นเสมือนสินทรัพย์ที่ผ่านการสะสมและฝังตัวจนเกิดเป็นมูลค่า ทุนวัฒนธรรมทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากวัฒนธรรมเป็นต้นน้ำของห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ โดยเราสามารถนำทุนวัฒนธรรม เช่น เรื่องราว (Story) และเนื้อหา (Content) ของวัฒนธรรม มาสร้างความโดดเด่นให้กับผลิตภัณฑ์ของตน หรือใช้ทุนวัฒนธรรมสร้างความแตกต่างหรือจุดขายให้กับสินค้า เกิดเป็นสินค้าวัฒนธรรมและทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มขึ้นแก่สินค้าและบริการได้
ประเด็นสุดท้ายที่อยากจะมาแบ่งปัน คือเรื่องของการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย หลายคนเข้าใจว่าเงินทองและความร่ำรวยอาจหมายถึงการใช้ชีวิตหรูหรา แต่คนรวยที่เข้าใจความหมายของการใช้ชีวิตที่แท้จริง คือคนที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย สมถะและพอเพียง เอาความพอดี มาเอาชนะความโก้หรู ซึ่งไม่ได้หมายความว่า การใช้ชีวิตเรียบง่าย จะต้องเป็นอยู่อย่างอัตคัด ขัดสน แต่เป็นการอยู่อย่างมีสติ ใช้เท่าที่ต้องใช้ และไม่ไขว่คว้าหาสิ่งที่ไม่จำเป็นให้ปวดหัว เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถมีความสุขในชีวิตได้ง่ายขึ้น
บทความโดย:นิภาพันธ์ พูนเสถียรทรัพย์