อายุ 60 ปี สายเกินไปหรือไม่ที่จะเริ่มซื้อหุ้น

อายุ 60 ปี สายเกินไปหรือไม่ที่จะเริ่มซื้อหุ้น

ในปัจจุบันการลงทุนในหุ้นเป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว ทำให้ใครๆ ก็สามารถมีพอร์ตการลงทุนในหุ้นได้ และสำหรับคนที่เกษียณอายุแล้ว การที่ได้ติดตามเกี่ยวกับข่าวสารทางด้านการลงทุนและได้แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นกับบรรดานักลงทุนด้วยกัน เป็นกิจกรรมหนึ่งที่ทำให้เกิดความกระฉับกระเฉงขึ้น ไม่น่าเบื่อ แถมยังได้สังคมในการลงทุนและเพิ่มความมั่งคั่งให้กับตนเองอีกด้วย แต่เนื่องจากการลงทุนในหุ้นนั้นมีความผันผวนและความเสี่ยงพอสมควร ทำให้ในบางครั้งนักลงทุนอาจประสบกับภาวะ “ติดดอย”  หรือการขาดทุนทางบัญชีที่เกิดจากการซื้อหุ้นมาในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดในปัจจุบัน ทำให้เกิดความกังวลและไม่สบายใจ ยิ่งในวัยหลังเกษียณอายุที่ไม่มีรายได้จากการทำงานเข้ามาแล้ว การขาดทุนจากการลงทุนก็อาจนำมาซึ่งความกังวล นอนไม่หลับ ก่อให้เกิดความเครียดได้ง่าย เมื่อ “ติดดอย” แล้วนักลงทุนตัดสินใจขายหุ้นเพื่อหยุดขาดทุน ก็จะทำให้เกิดการสูญเสียเงินต้น และทำให้ความมั่งคั่งลดลง ดังนั้น ในวัยหลังเกษียณหรืออายุ 60 ปีขึ้นไป ก่อนจะเริ่มซื้อหุ้น ควรสำรวจและประเมินความเสี่ยงของตนเองในเบื้องต้นก่อน ดังนี้     

 

1. สถานภาพทางการเงินในปัจจุบันเป็นอย่างไร ก่อนซื้อหุ้น ควรมั่นใจว่ามีเงินออมหรือเงินลงทุนเพียงพอสำหรับการใช้ชีวิตหลังเกษียณอายุแล้ว หรืออย่างน้อยควรมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน

2. ระยะเวลาที่คาดว่าจะไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนในหุ้นก้อนนี้ เพราะในการลงทุนนั้นต้องใช้ระยะเวลาที่นานเพื่อให้ผลตอบแทนในการลงทุนงอกเงย หากจำเป็นต้องใช้เงินเร่งด่วนก็อาจทำให้ต้องยอมขายหุ้นในราคาต่ำกว่าที่คาดหวังและขาดทุนจากการลงทุนได้ 

3. วัตถุประสงค์หลักในการลงทุนคืออะไร เพื่อดูว่าต้องการบรรลุเป้าหมายจากการลงทุนแบบใด เช่น

•  หากเน้นเงินต้นต้องปลอดภัย ควรซื้อหุ้นในสัดส่วนที่น้อย แต่ก็จะได้รับผลตอบแทนต่ำ

•  หากเน้นโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ แต่ยอมเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินต้นได้บ้าง ควรซื้อหุ้นในสัดส่วนปานกลาง  

•  หากเน้นผลตอบแทนสูงสุดในระยะยาว และยอมเสี่ยงที่จะสูญเงินต้นส่วนใหญ่ได้ ก็สามารถซื้อหุ้นได้มาก

4. ถ้าเลือกลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนมาก แต่ก็มีโอกาสขาดทุนสูงด้วยเช่นกัน จะรู้สึกอย่างไร หากรู้สึกกังวลและตื่นตระหนกกลัวขาดทุน ก็ควรหลีกเลี่ยงที่จะซื้อหุ้นด้วยจำนวนเงินที่สูง        

5. จะรู้สึกกังวลหรือรับไม่ได้เมื่อหุ้นปรับตัวลดลงในสัดส่วนเท่าใด ข้อนี้สำคัญมากเพราะในการลงทุนนั้นมีความเสี่ยงที่ราคาหุ้นจะปรับตัวลดลง และบางครั้งก็มีโอกาสที่จะลงได้ถึง 30% ภายในวันเดียวหรือติดฟลอร์ ดังนั้น จึงต้องพิจารณาว่าตนเองจะเริ่มกังวลเมื่อหุ้นตกลงไปกี่เปอร์เซ็น ถ้าเปอร์เซ็นยิ่งน้อยก็แสดงว่ายิ่งรับความเสี่ยงได้ต่ำ

6. เมื่อพบว่ามูลค่าเงินลงทุนในหุ้นลดลงจาก 100,000 บาท เหลือ 85,000 บาท จะทำอย่างไร เพื่อดูว่าตนเองมีการตอบสนองอย่างไรเมื่อมีผลขาดทุนเกิดขึ้น เช่น

•  ตกใจและต้องการขายหุ้นที่เหลือทิ้ง แสดงว่ารับความเสี่ยงได้น้อย

•  กังวลใจและจะปรับเปลี่ยนการลงทุนบางส่วนไปในทรัพย์สินที่เสี่ยงน้อยลง แสดงว่ารับความเสี่ยงได้ปานกลาง

•  อดทนถือต่อไปได้และรอหุ้นปรับตัวกลับมา แสดงว่ารับความเสี่ยงได้สูง

เมื่อนักลงทุนประเมินความเสี่ยงของตัวเองได้แล้ว ก็จะเข้าใจถึงผลตอบแทนเมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ในการลงทุนของตนเอง และถึงแม้ว่าจะเริ่มลงทุนตอนอายุ 60 ปี ก็ยังไม่สายที่จะเริ่มซื้อหุ้น เพราะในระยะยาวนั้นผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นจะช่วยปกป้องความมั่งคั่งจากอัตราเงินเฟ้อได้ 

บทความโดย:ธนพงษ์  เอื้อสมิทธ์ 

 737
ผู้เข้าชม
สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์