กลุ่มวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน
|
||||
ภาวะเศรษฐกิจภาคสหกรณ์ไทย ปี 2557 ช่วงแรกของปียังคงเจอกับสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังคงไม่
แน่นอน ต้นทุนการผลิตและค่าครองชีพปรับตัวสูง รวมทั้งราคาพืชผลการเกษตรอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ตลอดจนภัยทาง ธรรมชาติโดยเฉพาะสถานการณ์น้ำท่วมในหลายจังหวัดที่ส่งผลกระทบกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่อเนื่องมา ใน |
||||
ประเทศ มีทุนดำเนินงานรวมเท่ากับ 2.26 ล้านล้านบาท สร้างมูลค่าเพิ่มธุรกิจรวม 1.95 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 16.06 ของ GDP ได้ดังนี้
สภาพการดำเนินงานของภาคสหกรณ์ไทยปัจจุบัน จำนวนสมาชิกภาคสหกรณ์ไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นจาก ปีก่อนร้อยละ1.08 สมาชิกค่อนข้างมากเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงในสถานะที่เป็นทั้งเจ้าของและผู้ใช้บริการ ส่งผลให้ทุนดำเนินงานมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทุนภายในมาจากทุนเรือนหุ้นที่สมาชิกเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด กับเงินฝากที่สมาชิกเป็นผู้ฝากรายใหญ่ อีกทั้งการดำเนินการอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการสหกรณ์ที่เป็นตัวแทนจากสมาชิก นับเป็นจุดแข็งของภาคสหกรณ์ไทย |
||||
รายประเภท พบว่า สหกรณ์นอกภาคการเกษตร มีปริมาณธุรกิจสูงสุด 1.6 ล้านล้านบาท หรือร้อยละ 82.84 เฉลี่ยตกเดือนละ 134,705 ล้านบาทต่อเดือน รองลงมา สหกรณ์ในภาคเกษตร เท่ากับ 3.2 แสนล้านบาท (16.64%)และกลุ่มเกษตรกร เท่ากับ10,221ล้านบาท(0.52%)ตามลำดับ
ผลการดำเนินงานโดยรวม รายได้หดตัวร้อยละ 1.22 ส่วนค่าใช้จ่ายขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.19 ส่งผลให้กำไรหดตัวร้อยละ 16.13 เทียบจากปีที่แล้ว โดยมีระบบการควบคุมภายในอยู่ในระดับที่ดี-ดีมากลดลงจากปีก่อนเช่นกัน ซึ่งคณะกรรมการดำเนินงานสหกรณ์ ต้องพิจารณาถึงขีดความสามารถในการบริหารธุรกิจให้มี |
||||
การเงินต้องเพิ่มความเข้มข้นการบริหารจัดการให้มากขึ้น โดยภาคสหกรณ์ไทย มีอัตราค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อกำไรในระดับสูงกว่าระดับมาตรฐานอยู่ที่ร้อยละ 52.37 รองลงมา ต่ำกว่ามาตรฐาน (33.75%) และได้มาตรฐานมีเพียง (13.88%) ขณะที่มีอัตราลูกหนี้ชำระได้ตามกำหนดสูงกว่าระดับมาตรฐาน (62.33%) รองลงมา ต่ำกว่ามาตรฐาน (22.92%) และได้มาตรฐานมีเพียง (14.75%) ส่วนอัตราทุนสำรองต่อสินทรัพย์ส่วนใหญ่มีอัตราที่ต่ำกว่าระดับมาตรฐาน คิดเป็นร้อยละ 55.65 รองลงมา สูงกว่ามาตรฐาน (27.41%) และระดับมาตรฐาน (16.94%) ตามลำดับ ส่งผลให้ในภาพรวมภาคสหกรณ์ไทยต้องเฝ้าระวังทางการเงินเป็นพิเศษเร่งด่วนอยู่ที่ร้อยละ 9.40
ภาวะเศรษฐกิจเชิงมิติทางการเงินของภาคสหกรณ์ไทย ปี 2557 พบว่า ภาพรวมส่วนใหญ่ภาคสหกรณ์มีความสามารถในการบริหารจัดการได้ดีพอสมควรจะเห็นได้จาก ความเพียงพอของเงินทุนต่อความเสี่ยง(Capital strength) พบว่า พอเพียงและไม่เสี่ยง จากทุนดำเนินงานที่มีจำนวน 2.26 ล้านล้านบาท ขยายเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.74 จากเมื่อปีที่แล้ว โดยเป็นทุนของสหกรณ์จำนวนถึง 9.72 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 43.04 และมีเงินกู้ยืมมาจำนวน 6.2 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 27.45 ทุนสหกรณ์จึงรองรับหนี้เงินกู้ยืมภายนอกได้ 1.57 เท่า คุณภาพสินทรัพย์(Asset Quality) โดยรวมมีคุณภาพสร้างรายได้ให้ผลตอบแทนร้อยละ 5.59 สินทรัพย์รวมของภาคสหกรณ์ทั้งสิ้น 2.26 ล้านล้านบาท เป็นลูกหนี้สินเชื่อมากที่สุดจำนวน 1.8 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 80.70 ของสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น ซึ่งลูกหนี้ส่วนใหญ่สามารถชำระหนี้ถึงได้ร้อยละ 78.69 ของหนี้ถึงกำหนดชำระ และมีหนี้ที่ไม่สามารถชำระตามกำหนดได้เพียงร้อยละ 2.37 ของมูลหนี้ทั้งหมด ความสามารถในการบริหารจัดการ(Management Ability) ของภาคสหกรณ์ซึ่งมีการบริหารจัดการ 5 ธุรกิจหลัก พบว่า สามารถสร้างมูลค่าทางธุรกิจรวมจำนวน 1.95 ล้านล้านบาท เฉลี่ย 1.6 แสนล้านบาทต่อเดือน หดตัวร้อยละ 1.61 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว หากพิจารณาถึงเสถียรภาพทางการเงิน พบว่า ภาคสหกรณ์ส่วนใหญ่ร้อยละ 40.71 มีความมั่นคงทางการเงินอยู่ในระดับปานกลาง และระดับมั่นคงดี-ดีมาก ร้อยละ 22.70 ขณะที่ระดับที่อ่อนแอมากมีเพียงร้อยละ 8.45 ความสามารถในการทำกำไร(Earning) พบว่า มีกำไรทุกประเภทสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร (ยกเว้นสหกรณ์ประเภทเครดิตยูเนี่ยน) รายได้มากกว่าค่าใช้จ่าย และมีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้นจำนวน 5.2 หมื่นล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 15.79 ของรายได้ทั้งสิ้น และคิดเป็นร้อยละ 18.75 ของรายจ่ายทั้งสิ้น สภาพคล่องทางการเงิน (Liquidity) พิจารณาจากอัตราส่วนระหว่างหนี้สินหมุนเวียนต่อสินทรัพย์หมุนเวียน พบว่า หนี้สินหมุนเวียนมากกว่าสินทรัพย์หมุนเวียน 2.22 เท่า อย่างไรก็ตาม หนี้สินหมุนเวียนเกินกว่าครึ่งเป็นเงินฝากของสมาชิกคิดเป็นร้อยละ 60.99 และลูกหนี้ส่วนใหญ่สามารถชำระได้ตามกำหนดถึงร้อยละ 78.69 ของมูลหนี้ที่ถึงกำหนดชำระทั้งหมด แสดงให้เห็นว่า ถึงแม้หนี้สินหมุนเวียนจะมากกว่าสินทรัพย์หมุนเวียนแต่ส่วนใหญ่เป็นเงินฝากจากสมาชิกซึ่งมีโอกาสน้อยมากที่สมาชิกทุกคนจะถอนเงินฝากออกไปในครั้งเดียวพร้อมกันจำนวนมากประกอบกับสัดส่วนของจำนวนลูกหนี้ที่สามารถชำระได้ตามกำหนดมีมากกว่าสัดส่วนของลูกหนี้ที่ชำระหนี้ไม่ได้ตามกำหนด ดังนั้นสภาพคล่องของภาคสหกรณ์ทั้งระบบจึงอยู่ในสถานะที่ค่อนข้างปลอดภัยแต่ไม่ควรประมาทและต้องใช้ความระมัดระวังในการดำเนินธุรกิจ ผลกระทบของธุรกิจ (Sensitivity) มีความเสี่ยงทางธุรกิจหลายด้าน เช่น ราคาวัตถุดิบ ราคาน้ำมัน ค่าแรงขั้นต่ำที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง และความเสียหายของผลผลิตอันเนื่องมาจากภัยธรรมชาติหรือการระบาดของศัตรูพืช ตลอดจนสถานการณ์ทางการเมืองที่เปราะบาง สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อการบริโภค และการลงทุน ความสามารถในการสร้างรายได้ และทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นทั้งสิ้นสำหรับพืชเศรษฐกิจและพืชพลังงานสำคัญปี 2557 ปริมาณการรวบรวมหดตัวลงเกือบทุกชนิด ยกเว้นข้าวโพดที่
ขยายตัวเพิ่มขึ้น อันเป็นผลกระทบมาจากภัยธรรมชาติ อาทิเช่น ภัยแล้ง และภาวะฝนทิ้งช่วง รวมทั้งราคาพืชผลการเกษตรที่ยังไม่จูงใจ ทำให้เกษตรกรยังไม่มีความมั่นใจในการเพาะปลูก แต่อย่างไรก็ตามพืชดังกล่าวยังเป็นความต้องการของตลาดค่อนข้างมาก คาดการณ์ว่าแนวโน้มปี 2558 คงจะขยายตัวเพิ่มขึ้น
|