ในหนึ่งบริษัทหรือหนึ่งองค์กรจะต้องมีตำแหน่งสุดพิเศษที่เรียกว่าเป็นลูกรักของผู้บริหารเลยก็ว่าได้ นั่นคือ ฝ่ายการตลาด และ ฝ่ายการขาย นั่นเอง ทั้งสองตำแหน่งนี้ เป็นตัวช่วยให้บริษัทมีรายได้เข้ามามหาศาล และทำกำไรต่าง ๆ เป็นกอบเป็นกำ แต่เพราะทั้งสองตำแหน่งทำหน้าที่แตกต่างกันออกไป บางองค์กรที่ไม่ได้ตระหนักถึงจุดนี้จึงจัดควบรวมเป็นตำแหน่งเดียว กลายเป็นการลดต้นทุนที่ไม่เหมาะสมแทน เพราะทั้งฝ่ายขาย และฝ่ายการตลาด ต่างก็มีบทบาทที่สำคัญที่ต้องรับผิดชอบด้วยกันทั้งคู่
เพราะฉะนั้นหากคุณต้องการให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ มีลูกค้าหน้าใหม่ ๆ โผล่เข้ามาใช้บริการเป็นประจำ หรือออกสินค้าต่าง ๆ เมื่อไหร่ก็มีคนรอใช้บริการ แนะนำให้ทำความเข้าใจถึงความสำคัญของสองฝ่ายนี้ให้ละเอียด เพราะทั้งคู่ทำหน้าที่ต่างกันดังนี้
ฝ่ายการตลาด
1. บอกเล่าข้อดีของสินค้า
ฝ่ายการตลาด เป็นฝ่ายที่จำเป็นอย่างมากในการทำให้ลูกค้ารู้จักกับสินค้าและบริการของคุณ เพราะพวกเขาจะคอยบอกเล่าข้อดีของสินค้าออกไป ทำให้ผู้คนเกิดความต้องการซื้อมากขึ้น ซึ่งจุดเด่นเหล่านี้ยิ่งทำให้น่าสนใจได้มากเท่าไหร่ ยิ่งสร้างยอดขายให้ธุรกิจมากเท่านั้น
2. คิดเสนอแผนให้คนรู้จัก
การทำการตลาดที่ได้ยินมาประจำ ทั้งการแจกใบปลิว การทำแผ่นพับ การออกโฆษณาทีวี หรือคิดคอนเทนต์ให้สอดคล้องกับสินค้า โปรโมทผ่านเฟซบุ๊ก ยูทูป ทุกอย่างคือหน้าที่ของการตลาดทั้งสิ้น ซึ่งเป็นการคิดค้นวิจัยข้อมูลที่มีในมือ และกรองออกมาเป็นคอนเทนต์เพื่อป้อนสู่กลุ่มเป้าหมายนั่นเอง
3. สร้างแบรนด์ให้ดี
สินค้าดี คนรู้จักแล้ว ต้องจดจำแบรนด์ของคุณได้ด้วย นี่เป็นหน้าที่ของฝ่ายการตลาดเช่นกัน ที่จะแทรกแบรนด์ของคุณเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คนให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการไปออกรายการใหญ่ต่างๆ การมองหางานอีเวนท์ที่น่าสนใจ รวมถึงการใช้งาน Influencer ที่เหมาะสมกับแบรนด์ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดี และเป็นที่พูดถึงในวงกว้างในเวลาอันรวดเร็ว
4. ออกโปรดักต์ที่ตอบโจทย์ลูกค้า
ฝ่ายการตลาดจะมีข้อมูลมากมายอยู่ในมือเต็มไปหมดเกี่ยวกับความต้องการของลูกค้า ซึ่งเขาจะช่วยหาจุดเด่น จุดด้อยของสินค้า เพื่อนำไปสู่การพัฒนาตัวใหม่ที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมได้ รวมถึงยังชี้เป้าให้เห็นด้วยว่าสินค้าตัวไหนที่ลูกค้ามีความต้องการมากขึ้น หรือสินค้าตัวไหนที่ควรลดปริมาณลง หรือปรับรูปแบบไป ทำให้ธุรกิจคุณมีโอกาสสำเร็จได้อย่างยั่งยืน จากการไม่หยุดพัฒาตัวเอง
ฝ่ายขาย
1. โต้ตอบกับลูกค้าแบบทันที
หน้าที่ของฝ่ายขายคือการปิดดีลต่างๆ ที่เข้ามาพูดคุยให้ได้ หรือก็คือรับหน้าแขกที่เข้ามาติดต่อนั่นเอง ซึ่งถึงแม้ทุกวันนี้ระบบต่างๆ จะพัฒนาขึ้นมากจนคุณไม่จำเป็นต้องมีคนมานั่งเฝ้าแชทก็ยังได้ เพราะมี Chat Bot ที่ช่วยตอบคำถามยอดนิยมอยู่แล้ว แต่การมีคนจริงๆ คอยประสานงานจะทำให้ธุรกิจคุณน่าเชื่อถือ และส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้าอย่างเห็นได้ชัด
2. ให้คำแนะนำได้ไม่สิ้นสุด
ฝ่ายขายจะต้องเป็นคนที่มีความรู้ด้านสินค้าอย่างแท้จริง และพร้อมจะให้คำแนะนำกับลูกค้าได้ตลอด ไม่ว่าคำถามนั้นจะเป็นเรื่องอะไรเกี่ยวกับสินค้าก็ตาม การมอบคำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ แต่ได้ผลกับลูกค้าไป จะช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้ารู้สึกว่าคุณคือผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นอย่างแท้จริง และทำให้เขาเปิดใจกล้าใช้บริการ
3. เจาะถูกจุดที่ลูกค้าต้องการ
ฝ่ายขายที่ดีจะทำหน้าที่สอดส่องความต้องการของลูกค้าว่าเขาอยากได้อะไร เหมาะสมกับสินค้าตัวไหน และนำเสนอขายสินค้านั้นๆ ให้อย่างทันท่วงที ซึ่งบางครั้งลูกค้าเข้ามาทักทายพูดคุยเพื่อจะซื้อสินค้าตัวหนึ่ง แต่เฝ่ายขายเองอาจจะมองเห็นว่าความต้องการลึกๆ ของลูกค้าคือสินค้าอีกชิ้นนึง ก็สามารถแนะนำเพิ่มเติมได้ ทำให้ลูกค้าได้ของที่เหมาะสมกับสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด
4. อัปเซลให้ธุรกิจคุณได้
หน้าที่หลักอีกอย่างของนักขายคือ การปิดดีลให้ได้ และจะให้ดีต้องอัปเซลให้ได้ด้วย ซึ่งคุณจะเห็นหน้าที่ของนักขายได้ง่ายๆ จากการไปใช้บริการที่ 7-11 ซึ่งนักขายจะถามเสมอว่า รับ...เพิ่มหรือไม่ การอัปเซลด้วยรูปแบบนี้ช่วยสร้างกำไรให้บริษัทได้มากกว่าที่คุณคิด ผิดกับการให้ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์ แล้วก็จบกันไป เพราะแบบนี้หน้าที่ของนักขายจึงยังคงความสำคัญ แม้ระบบต่างๆ จะพัฒนาขึ้นมามากแค่ไหนก็ตาม
จะเห็นได้ว่าความแตกต่างของทั้งการตลาด และฝ่ายขายนั้นแทบไม่มีอะไรใกล้เคียงกันเลย ทุกคนต่างมีหน้าที่ของตัวเอง และถูกแบ่งออกอย่างชัดเจนที่สุด ดังนั้นอย่าพยายามลดบทบาทให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือควบรวมให้ทุกคนทำในสิ่งที่ไม่ใช่หน้าที่ของตัวเอง เพราะจะทำให้องค์กรของคุณไปไม่สุดสักทาง การลงทุนตรงนี้เพิ่มขึ้นหน่อยจะทำให้ยอดขายของคุณเพิ่มมากขึ้นในอนาคตและคุ้มค่าที่จะลงทุนแน่นอน
บทความโดย : Smart SME
รวมบทความบัญชีมากถึง 1,000 : https://www.myaccount-cloud.com/Article/List/16128
