ผู้ประกอบการหรือเจ้าของกิจการหลายคนยังไม่ทราบเลยว่าภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร เราจำเป็นจะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ และรายละเอียดเป็นอย่างไร
1. ความหมายของภาษีมูลค่าเพิ่ม
ภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ “Vat” คือภาษีอากรประเภทหนึ่งที่เรียกเก็บจากการบริโภคของประชาชน หรือลูกค้าของธุรกิจนั้นๆ สำหรับเจ้าของกิจการเมื่อคุณซื้อสินค้ามาเป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตสินค้า คุณก็ต้องจ่าย Vat ให้ร้านที่คุณซื้อวัตถุดิบ เรียกว่า “ภาษีซื้อ” และเมื่อสินค้าของคุณขายได้ และคุณเก็บ Vat จากลูกค้า ตรงนี้จะเรียกว่า “ภาษีขาย” คุณสามารถเอา Vat สองส่วนนี้มาลบกัน แล้วจ่ายส่วนต่างให้กรมสรรพากรได้ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยได้กำหนดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ Vat ไว้ที่ 7%
2. บุคคลใดต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
ผู้ที่มีรายได้ทุกคนมีหน้าที่เสียภาษี ไม่ว่าจะภาษีบุคคลธรรมดา หรือภาษีในฐานะบริษัท สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น ผู้เสียภาษีจะอยู่ในรูปบริษัท โดยเกณฑ์ขั้นต่ำที่ใช้พิจารณาคือ บริษัทนั้นต้องมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการเกินกว่า 1.8 ล้านบาท/ปี ถึงจะเข้าเกณฑ์ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม สามารถยื่นขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ตั้งแต่แรก หรือคำนวณรายรับแล้วเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปีแน่นอน หรือในกรณีที่ไม่ได้จดไว้ก่อน เมื่อรายรับเกิน 1.8 ล้านบาทในปีนั้นๆ ให้รีบยื่นคำร้องขอจดทะเบียนภายใน 30 วัน นับจากวันที่รายรับเกิน
บริษัทที่มีการดำเนินงานอันเป็นเหตุให้ต้องซื้อสินค้าและบริการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม อาทิเช่น การก่อสร้างโรงงาน สำนักงาน และการติดตั้งเครื่องจักร ให้ยื่นคำร้องภายใน 6 เดือนก่อนเริ่มกิจการ
3. บุคคลที่ไม่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
ผู้ที่ไม่เข้าข่ายต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มอันดับแรกคือ กิจการที่มีรายได้ต่อปีไม่ถึง 1.8 ล้านบาท รวมถึงกิจการที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมายอยู่แล้ว ส่วนใหญ่มักจะเป็นการขายสินค้าทางการเกษตร การบริการสถานศึกษาทั้งของรัฐและเอกชน กิจการเกี่ยวกับการขนส่ง และสถานพยาบาล
4. ขั้นตอนต่อไปเมื่อจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว
>เมื่อผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว จะต้องดำเนินการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ โดยต้องออกใบกำกับภาษีเป็นหลักฐานทุกครั้ง
>จากนั้นจึงรวบรวมเอกสารทำเป็นรายงานตามที่กฎหมายกำหนด สำหรับตัวรายงานจะประกอบไปด้วย 3 ส่วนคือ รายงานภาษีซื้อ รายงานภาษีขาย และรายงานสินค้าและวัตถุดิบ เพื่อความสะดวกในการคำนวณภาษีและตรวจสอบความถูกต้อง
>เมื่อจัดทำรายงานเสร็จแล้ว ผู้ประกอบการมีหน้าที่ในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มและชำระภาษีผ่านช่องทางต่าง ๆ ทั้งการยื่นแบบผ่านอินเทอร์เน็ต ยื่นที่กรมสรรพากรในเขตพื้นที่ และผ่านทางธนาคารพาณิชย์
*สำหรับบางธุรกิจที่ต้องเสียทั้งภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่ม ก็สามารถไปยื่นพร้อมกันได้ที่กรมสรรพสามิตได้เช่นกัน
**ในกรณีที่มีการนำเข้าสินค้าและต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม ก็สามารถชำระได้ที่ด่านศุลกากรพร้อมกับการชำระอากรขาเข้าตามกฎหมาย
5. สามารถยื่นขอจดทะเบียนได้ที่ไหนบ้าง
- ยื่นแบบคำขอผ่านทางอินเทอร์เน็ตที่ กรมสรรพากร
- ยื่นแบบคำขอด้วยกระดาษ (แบบภ.พ.01) ณ หน่วยจดทะเบียนคือ สำนักงานสรรพากร และสำนักงานสรรพากรสาขา (เขต, อำเภอ) ของที่ตั้งสถานประกอบการตามพื้นที่ที่กิจการตั้งอยู่ และหากมีหลายสาขาก็ให้ยื่นจด ณ ที่ตั้งของสำนักงานใหญ่เท่านั้น หรือยื่นที่สำนักงานบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ในกรณีที่ผู้ประกอบการอยู่ในการกำกับดูแลของสำนักงานบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่อยู่แล้ว
6. หลังจากจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว รับใบ ภ.พ.20
เมื่อคุณยื่นเอกสารคำขอครบถ้วนแล้ว เจ้าหน้าที่จะทำการออกใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือแบบ ภ.พ.20 เพียงเท่านี้คุณก็จะกลายเป็นผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมายตั้งแต่วันที่ที่ระบุในใบทะเบียนเป็นต้นไป เจ้าหน้าที่จะออกใบ ภ.พ.20 ให้แก่คุณเป็นจำนวนเท่ากับสาขาที่มี หน้าที่ของคุณคือนำไปแสดงตามสาขาต่าง ๆ ได้เลย
*หากใบ ภ.พ.20 ชำรุดหรือสูญหาย คุณต้องไปยื่นหนังสือขอรับใบแทนภายใน 15 วัน ณ สถานที่ที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไว้
7. หากหลีกเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่ม มีความผิด
การเสียภาษีทุกชนิดเป็นหน้าที่ของประชาชนผู้มีรายได้ทุกคน การจงใจหลีกเลี่ยงภาษีมีความผิด รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่มด้วยเช่นเดียวกัน โดยรายละเอียดความผิดและบทลงโทษมีดังนี้ กำหนดโทษการปฏิบัติฝ่าฝืนเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม
ที่มา : Link
รวมบทความบัญชีมากถึง 1,000 : https://www.myaccount-cloud.com/Article/List/16128