เศรษฐกิจโลกปีนี้
IMF คาดการณ์ใหม่ในเดือน มิ.ย. ว่า เศรษฐกิจโลกจะหดตัวลง -4.9% ในปีนี้ ลดลงจากจากคาดการณ์เดิมในเดือน เม.ย.ที่ว่าจะหดตัวลง -3.0% และลดตัวเลขคาดการณ์ในปีหน้าสู่ระดับ +5.4% ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ในเดือน เม.ย.ว่าจะขยายตัว +5.8% โดยคาดว่าเศรษฐกิจกลุ่มพัฒนาแล้ว (Advance Economies) จะหดตัว -8.0% และกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Economies) จะหดตัว -3.0% และคาดว่าไทยจะหดตัวลง -7.7% ในปีนี้ ซึ่งต่ำที่สุดในภูมิภาคอาเซียน
ทั้งนี้ IMF ได้ระบุว่า การใช้มาตรการกระตุ้นทั้งด้านการเงินและการคลังอย่างเต็มที่ในหลายประเทศ ได้ช่วยพยุงไม่ให้เศรษฐกิจหดตัวรุนแรงไปกว่านี้ โดยเฉพาะมาตรการที่พยุงการจ้างงาน และการเสริมสภาพคล่องให้กับภาคธุรกิจ ซึ่งคาดว่าจะมีต่อเนื่องตลอดทั้งปี ขณะที่นโยบายการเงินจะผ่อนคลายไปตลอดจนถึงสิ้่นปีหน้า
ผลก็คือ การผ่อนคลายทางการเงินอย่างสุดโต่งนี้ได้ส่งผลบวกให้กับ Financial Markets ทั้งที่ภาพเศรษฐกิจดูไม่ดีเลย และได้เตือนว่า สถานะทางการคลังของรัฐบาลในหลายๆ ประเทศจะทรุดตัวลงอย่างหนัก จากการออกมาตรการลดทอนผลกระทบจาก COVID-19 ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า และหนี้สาธารณะต่อ GDP ของโลกก็จะพุ่งขึ้นแรงจนทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 101.5% ในปีนี้ ในขณะที่เป็น 82.8% ในปีก่อน
กองทุนบัวหลวงมองภาพเศรษฐกิจไทยอย่างไร
เราได้ปรับประมาณการ GDP ไทยในปีนี้จากเดิม -5.2% ลดลงเป็น -8.0% (สมัยต้มยำกุ้งหดตัว -7.6%) เนื่องด้วย COVID-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในมุมกว้าง อันเนื่องมาจาก 3 สาเหตุหลัก ได้แก่
ทั้งนี้ เราคาดว่าเศรษฐกิจจะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมาได้ในช่วงครึ่งปีหลัง เมื่อรัฐบาลทยอยปลดล็อกให้ธุรกิจกลับมาดำเนินการได้ใกล้เคียงกับปกติ ซึ่งหากไม่มีการแพร่ระบาดรอบสองและรัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือออกมาอย่างต่อเนื่อง แม้ปีนี้ GDP ไทยคงจะหดตัว -8.0% แต่เราคาดหวังในเชิงบวกว่า จะฟื้นตัวขึ้นมา 6.5% ในปีหน้า โดยมีปัจจัยที่อาจทำให้คลาดเคลื่อน ได้แก่
จากนี้ไปจะลงทุนอย่างไร
นี่คือคำถามยอดฮิตของท่านที่โชคดี เพราะยังคงมีเงินให้ลงทุน... หากมองสั้นๆ แค่ไม่กี่เดือน ตอบได้ว่ากระแสเงินจากต่างประเทศที่ไหลเข้าออกในตลาดต่างๆ จะเป็นตัวกระตุ้นสำคัญที่ทำให้ของในตลาดนั้นๆ มีราคาสูงขึ้นหรือลดลง ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐานที่ดูไม่ดีเอาเสียเลย
ดังนั้น หากท่านสนใจหุ้น เพราะทนกับอัตราดอกเบี้ยที่โดนเหยียบจนแบนแต๊ดแต๋ไม่ไหวจริงๆ ก็เลือกลงทุนในตัวที่ดี ในราคาที่ถูกลงมามากๆ และต้องมั่นใจว่าเขาจะไปรอด...แล้วถือยาวววว... ซึ่งต้องอ่านบทวิเคราะห์จากโบรกเกอร์ที่ท่านเชื่อถือ หรือลงทุนผ่านกองทุนรวมในค่ายที่ท่านมั่นใจและเข้าใจวิธีการลงทุนของเขา
แต่หากกลัวหุ้น รับความผันผวนไม่ไหว จะไปตราสารหนี้ ก็ต้องทนได้กับอัตราผลตอบแทนกระจิริด... น้อยนิด จนเอานิ้วถ่างตาดูก็แทบมองไม่เห็นแล้ว... และอย่าโลภ อย่ากระโดดเข้าไปหาตราสารหนี้ หรือหุ้นกู้ของบริษัทที่ให้ผลตอบแทนสูงเกินจริง โดยไม่รับรู้ถึงความเสี่ยง เพราะในภาวะดอกเบี้ยต่ำอย่างนี่ เขาควรกู้แบงก์ได้ในอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ไม่สูง…
ถ้ารัฐบาล หรือ ธปท.ออกพันธบัตรอีกเมื่อไหร่ก็ให้รีบไปจองอย่างด่วน เหนือสิ่งอื่นใด การกำหนดสัดส่วนลงทุนเฉพาะตนสำคัญที่สุด และเป็นการกระจายเงินลงทุนไปในสินทรัพย์หลายกลุ่ม ช่วยลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวได้
ถ้าอายุมากแล้ว ควรลดความโลภ ลดสัดส่วนลงทุนในหุ้นลงให้เหมาะกับตนเอง หากลงทุนหุ้นแล้วเงินส่วนนั้นลงนานได้ไม่เกิน 7 ปี ก็ต้องยอมถอยเงินส่วนนั้นออกจากหุ้นไปเสียจะดีกว่า ยกเว้นท่านเป็นนักเก็งกำไรมือฉมังที่ยังไม่ตาย...
ล่าสุด ข้าพเจ้าลดสัดส่วนกองทุนหุ้นทั้งในประเทศและนอกประเทศลงเหลือประมาณ 10% และมีกองทุนทองคำประมาณ 10% โดยอีกประมาณ 80% ที่เหลือเป็นกองทุนตราสารหนี้ภาครัฐที่ให้ผลตอบแทนไม่ถึง 1% ต่อปี... ก็ต้องยอมทนเพราะอายุมากแล้ว เพราะสำหรับคนอายุมากๆ ได้ผลตอบแทนน้อยนิด อาจจะดีกว่าขาดทุนจนเหลือไม่พอใช้ แต่ก็ต้องทำใจเวลาหุ้นขึ้น อย่าไปเสียดาย ต้องรู้จักเพียงพอ
แต่ถ้าอายุน้อย หรือมีเวลาไม่ต่ำกว่า 10 ปีกว่าจะเกษียณ อันนี้ยังรับความเสี่ยงได้ อย่าทิ้งโอกาสในหุ้น ให้จัดสัดส่วน Portfolio การลงทุนของท่านให้เหมาะสมกับเป้าหมายทางการเงินของตนเองก็แล้วกัน