หากต้องการจ่ายภาษีเงินได้ธรรมดาให้น้อยที่สุด ก็ต้องทำให้เงินได้สุทธิต่ำที่สุด ซึ่งทำได้ 3 วิธีคือ การลดเงินได้พึงประเมิน การเพิ่มค่าใช้จ่าย และการเพิ่มค่าลดหย่อน
โดยสมการประเมินภาษีของสรรพากร คือ
ภาษีเงินได้ = เงินได้สุทธิ x อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
เงินได้สุทธิ = เงินได้พึงประเมิน – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน
การวางแผนการเพิ่มค่าใช้จ่ายสำหรับคนที่มีเงินได้ประเภท 5 – 8* สามารถเลือกค่าใช้จ่ายได้ 2 แบบ คือ แบบเหมา กับตามจ่ายจริง เดิมส่วนใหญ่เลือกค่าใช้จ่ายแบบเหมา เพราะเงินได้บางอย่างสามารถหักค่าใช้จ่ายได้สูงถึงร้อยละ 85 แต่ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา สรรพากรได้ปรับลดค่าใช้จ่ายแบบเหมาเหลือสูงสุดไม่เกินร้อยละ 60 ทำให้การเลือกหักค่าใช้จ่ายตามจริงเป็นทางเลือกที่ได้รับความสนใจมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายบางอย่างแม้ว่าเราจ่ายไปแล้วไม่สามารถเอามาหักเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้ แปลว่า เราจ่ายฟรี คือ จ่ายเงินจริง แต่ทางสรรพากรไม่อนุญาตให้เอามาบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษี จึงไม่มีประโยชน์ในการบริหารภาษี ค่าใช้จ่ายพวกนี้จะมีรายละเอียดในมาตรา 65 ตรี เช่น
ค่าใช้จ่ายที่สรรพากรยอมให้หักเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายที่มีลักษณะ ดังนี้
และค่าใช้จ่ายบางอย่างแม้สรรพากรไม่ห้ามให้เอามาหักเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษี แต่ก็ไม่อนุญาตให้เอามาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ทั้ง 100% เช่น ค่ารับรองสรรพากรอนุญาตให้หักได้เท่าจำนวนที่ต้องจ่ายแต่รวมกันต้องไม่เกินร้อยละ 0.3 ของจำนวนเงินยอดรายได้ หรือยอดขายที่ต้องนำมารวมคำนวณกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายใด ๆ หรือของเงินทุนที่ได้รับชำระแล้ว ณ วันสิ้นรอบ แล้วแต่อย่างใดจะมากกว่า แต่สูงสุดได้ไม่เกิน 10 ล้านบาท เป็นต้น
แต่ก็มีค่าใช้จ่ายบางอย่างสามารถบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้มากกว่าที่จ่ายจริง ทำให้เราสามารถบริหารภาษีได้มากขึ้น แนวคิดก็เหมือนการบริจาคเงินให้กับโรงเรียน หรือ โรงพยาบาลที่เราสามารถลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่าของเงินที่บริจาคจริง ค่าใช้จ่ายประเภทนี้มีหลายตัว เช่น
ดังนั้นในการบริหารภาษีด้านค่าใช้จ่าย เราควรดำเนินการดังนี้
หมายเหตุ: *ผู้มีเงินได้ประเภท 5 – 8 คือผู้ที่มีเงินได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน เงินได้จากวิชาชีพอิสระ เงินได้จากการรับเหมา และเงินได้จากธุรกิจ การพาณิชย์ การเกษตร การอุตสาหกรรม การขนส่ง การขายอสังหาริมทรัพย์ หรือการอื่นนอกเหนือจากประเภทที่ 1-7
แหล่งที่มา : Link