SSF ย่อมาจาก "Super Saving Fund" หรือ "กองทุนรวมเพื่อการออม" สามารถลงทุนสะสมในกองทุนรวมและได้สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี โดยมีเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์หลักคือ
- ลงทุนในหลักทรัพย์ได้ทุกประเภท ไม่จำกัดแค่หุ้นไทย
- ผู้ลงทุนต้องถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 10 ปีเต็ม นับจากวันที่ลงทุนถึงวันเดียวกันในอีก 10 ปีข้างหน้า (นับวันชนวัน)
- ไม่กำหนดขั้นต่ำในการซื้อ
- ไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี คือ ซื้อปีไหนลดหย่อนปีนั้น
- หักลดหย่อนได้ในปี 2563-2567
- ลงทุนสูงสุดไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 200,000 บาท ทั้งนี้ เมื่อรวม RMF + SSF + กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ + กบข. + กอช. + ประกันบำนาญ แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท
RMF ย่อมาจาก "Retiremant Mutual Fund" หรือ "กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ" เป็นกองทุนรวมที่เน้นการออมเงินระยะยาวไว้สำหรับใช้จ่ายตอน "เกษียณอายุ" ซึ่งจะคล้ายๆ กับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) ของภาคเอกชน และกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) (Government Pension Fund) ข้าราชการ โดยมีเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์หลักคือ
- สามารถลงทุนในสินทรัพย์ได้ทุกประเภท
- ถือครองอย่างน้อย 5 ปี และต้องถือครองถึงอายุถึง 55 ปี
- ไม่กำหนดเงินขั้นต่ำในการซื้อ
- ต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี เว้นได้มากที่สุด 1 ปี
สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ในปีที่มีการลงทุน สูงสุดไม่เกิน 30% ของรายได้แต่ไม่เกิน 500,000 บาท แต่เมื่อรวม SSF + กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ + กบข. + กอช. ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 500,000 บาทจากข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่า กองทุนทั้ง 2 ประเภทมีเป้าหมายเพื่อการออมเหมือนกัน แต่เงื่อนไขในการลงทุนที่แตกต่างกัน การเลือกลงทุนระหว่าง SSF กับ RMF จึงต้องเลือกตามวัตถุประสงค์การลงทุนของแต่ละคน รวมถึงความเสี่ยงที่สามารถรับได้ โดยอาจพิจารณาจากเป้าหมายการลงทุนในอนาคต ดังนี้
SSF เหมาะกับผู้ที่ต้องการลงทุนในช่วงเวลาอย่างน้อย 10 ปีได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินก้อนที่นำมาลงทุน SSF และต้องการสิทธิลดหย่อนภาษี
ส่วน RMF เหมาะกับผู้ที่ต้องการออมเงินเพื่อวัยเกษียณ เก็บในระยะยาว จึงเหมาะโดยเฉพาะ กลุ่มอาชีพอิสระ ที่ไม่มีสวัสดิการออมเงินเพื่อวัยเกษียณ, ลูกจ้างหรือพนักงานที่ไม่มีสวัสดิการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือลูกจ้าง/ข้าราชการ ที่มีสวัสดิการออมเงินเพื่อวัยเกษียณที่ต้องการออมเพิ่ม