การตกแต่งบัญชี...ระวังสาวสวยทำศัลยกรรม !!!!

การตกแต่งบัญชี...ระวังสาวสวยทำศัลยกรรม !!!!

ในสมัยที่ผู้เขียน (จขบ.)ทำงานอยู่กับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ในช่วงทดลองงาน ผู้จัดการได้เรียกไปถามว่า เข้าใจงานที่มอบหมายให้ทำนั้นดีแล้วยัง แล้วผู้จัดการก็อธิบายซ้ำว่า ในบริษัทเรามีขอบเขตของงานแค่ไหน เพื่ออธิบายว่างานของเราอยู่ตรงส่วนไหนของบริษัท งานของเราจะเชื่อมต่อหรือส่งต่องานให้กับคนอื่นๆ อย่างไร เพื่อให้ต่อเกิดเป็นภาพใหญ่ของบริษัท ฯลฯ 

คนที่ทำงานมาก่อนย่อมเข้าใจเนื้องานของตน  ส่วนพนักงานใหม่อย่างเราที่อยู่ในลองผิดลองถูกก็คงต้องค่อยๆ เรียนรู้ไป คนที่เรียนรู้งานได้เร็วย่อมได้เปรียบเพราะสามารถทำให้งานบรรลุเป้าหมายได้อย่างง่ายดาย ความคาดหวังของผู้จัดการหรือหัวหน้างานมักต้องการลูกน้องที่มีความรับผิดชอบและเป็นงานเร็ว

แรม ชาราน (Ram Charan) ได้เขียนไว้ในหนังสือ “สอนลูกน้องให้เป็นเถ้าแก่” (What the CEO wants you to know) ว่า “สิ่งที่แจ๊ค เวลช์ และพ่อค้าเร่ข้างถนนมีเหมือนกัน” (คืออะไร?) แรม ชาราน เฉลยว่าเมื่อพูดถึงทั้งพ่อค้าเร่ข้างถนนและซีอีโอบริษัทขนาดใหญ่สองคนนี้ประสบความสำเร็จนั้น เขาจะพูดและคิดอย่างคล้ายคลึงกัน  จริงอยู่แม้ว่าเขาอาจมีความแตกต่างกันที่การบริหารกิจการขนาดใหญ่กับร้านค้าขนาดเล็กๆ แต่โดยพื้นฐานของแนวคิดการบริหารธุรกิจแล้วเหมือนกัน เช่นว่า ทำอย่างไรให้กิจการจะขายสินค้าได้เป็นเงินสดเพื่อมาหล่อเลี้ยงกิจการให้คล่องตัว ทำอย่างไรให้สินค้าผ่านมือตนส่งมอบไปยังลูกค้าเร็วที่สุด ไม่มีสินค้าค้างสต็อกมากและนานเกินไป ยิ่งทำให้กิจการไม่มีสต็อกได้ก็ยิ่งดี หรือซื้อมาราคาเท่าไรแล้วจะขายออกไปราคาเท่าไร เจ้าของกิจการเหล่านี้มีจิตสำนึกหรือเข้าใจว่าธุรกิจของเขาจะสามารถทำเงินได้อย่างไร เป็นต้น

และคนพวกนี้  เขาลงมือทำมันด้วยตนเอง  เขาจึงอธิบายวิธีการทำงานให้ลูกน้องเข้าใจได้ด้วยคำง่ายๆ เพื่อให้บรรลุผลโดยเร็วที่สุด  ... นี่คือปฏิภาณไหวพริบที่ผู้บริหาร เพราะเขาให้ความสนใจต่อข้อมูลพื้นฐานการดำเนินธุรกิจของเขาอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นเคล็ดลับในความสำเร็จของพวกเขา แต่ที่แตกต่างออกไปคือ พนักงานบริษัทหรือคนที่มีสัญชาตญาณเป็นลูกน้องคนอื่นกลับมีมุมมองที่แตกต่างไป ทำงานไปวันๆ รอรับเงินเดือนเมื่อถึงวันสิ้นเดือน แล้วก็จะไม่รู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ตรงส่วนไหนของกิจการนั้นพวกเขาไม่มีจิตสำนึกความเป็นเจ้าของธุรกิจ  ซึ่งจิตสำนึกนี้ใช่ว่าจะเป็นกันได้ง่ายๆ  เพราะต้องฝึกหัดกันนานหรือไม่ก็ลาออกมาเป็นเจ้าของธุรกิจกันเสียเองแล้วจึงจะรู้สำนึก

ก็คงเช่นเดียวกับคนเป็นแม่ที่เป็นได้ในทันทีที่ เบ่งคลอดลูกออกมาเอง !!! เพราะตอนที่เลี้ยงลูกคนอื่นก็ไม่มีจิตวิญญาณของความเป็นแม่เท่าไรนัก จนกว่าจะได้อุ้มท้องเบ่งคลอดออกมาเอง

บริษัทใดที่มีพนักงานที่เข้าใจว่า แท้จริงแล้วเงินเดือนของตนเองถูกแบ่งมาจากกำไรเพียงเท่านี้ พนักงานคนนั้นจะรู้ว่าตนจะรักษาหรือทำยอดขายเอาไว้ได้อย่างไร โดยไม่ต้องให้ผู้บริหารมาสั่งงาน เพียแค่นี้ก็มีวิญญาณของการเป็นเจ้าของกิจการแล้วล่ะ 

ดั่งที่ Tatsuya Wani เขียนไว้ในหนังสือ “บริหารเงินเป็น เห็นกำไร” ว่า พนักงานควรต้องรู้ว่า ต้องทำให้เกิดกำไรที่มีมูลค่าเป็น 3 เท่าของเงินเดือนตนเอง” กิจการจึงจะอยู่รอดและเติบโตไปข้างหน้าได้ นี่จึงเป็นทฤษฎีการตั้งเป้าหมายกำไรของ Tatsuya Wani ที่เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้

เอนทรี่ที่แล้ว ผู้เขียนได้เล่าประสบการณ์การทำงานไว้ในเรื่อง  รู้บัญชี....ตีแตก !!!  ในตอนนี้ขอเล่าถึงภารกิจสำคัญของกิจการและผู้นำองค์กรอีกเรื่องหนึ่ง เพราะนอกจากภารกิจหลักนั้นไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของการหาเงินเท่านั้น บางทีการมีเงินสดไหลเข้าออกกิจการเป็นอย่างดี แต่แล้วจู่ๆ ไม่มีเงินชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ กิจการก็อาจล้มละลายได้ เนื่องจากงบการเงินมีการตกแต่งบัญชี

เอนทรี่นี้จึงขอเล่าถึง วิธีการตกแต่งบัญชีแบบที่พบได้ทั่วๆ ไป ไม่ซับซ้อนมากนัก หรือ “ไม่เซียนมาก”

การตกแต่งบัญชีหรืองบการเงิน เพื่อให้กิจการดูดีนั้น มีหลายวิธีแต่ที่พบกันได้บ่อยๆ คือ การโยกเงิน ได้แก่ การทำให้สินค้าคงคลัง หรือยอดขายค้างรับนั้นเป็นเรื่องไม่จริง เพื่อทำให้ยอดเงินเพิ่มมากขึ้น และทำให้ดูว่ามีกำไร  ซึ่งกรณีนี้คล้ายๆ กับการเอาเงินอนาคตมาใช้

ตามข้อเท็จจริงของงบแสดงฐานะการเงิน(งบดุล)นั้น จะต้องสมดุลทั้งด้านซ้ายและด้านขวา ดังนั้น ถ้าหากใช้วิธีการอะไรบางอย่างที่ทำให้ทรัพย์สินที่อยู่ทางด้านซ้ายมือเพิ่มขึ้นมากกว่าสภาพความเป็นจริง ก็จะทำให้กำไรที่อยู่ทางด้านขวามือเพิ่มขึ้นตามส่วนนั้นได้ด้วย

การทำให้สินค้าคงคลังเป็นเรื่องไม่จริง  ซึ่งมูลค่าของสินค้าคงคลังเกิดจากจำนวนสินค้าคูณด้วยราคาต่อหน่วย กลโกงของบัญชีบริษัทก็คือ การบันทึกสินค้าที่ไม่มีตัวตนลงในทะเบียนสินค้าคงคลัง วิธีการนี้ก็จะทำให้มูลค่าสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้นมากกว่าความเป็นจริงโดยตรง

ยังมีอีกวิธีหนึ่งคือ การปรับราคาต่อหน่วยของสินค้าคงคลังให้สูงขึ้น ซึ่งถ้าปรับราคาต่อหน่วยให้เป็นเท่าตัว ก็จะทำให้ยอดเงินสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเช่นกัน

วิธีต่อมา คือ การเพิ่มยอดขายค้างรับ ก็เกิดจากการทำให้สินค้าคงคลังที่ขายไม่ได้ มีการขายได้ขึ้นมา ด้วยการนำยอดขายที่ควรจะเป็นของงวดต่อไปมาบันทึกเป็นยอดขายของงวดนี้ก่อน แล้วลงบันทึกรายการเป็น "ยอดขายค้างรับ" ก็จะทำให้ยอดขายและกำไรของงวดนี้เพิ่มขึ้น

บางบริษัทก็นิยมนำยอดขายค้างรับของบริษัทลูกมาบันทึกบัญชี โดยเฉพาะบริษัทที่แยกกันทำบัญชี (Unconsolidated)ระหว่างบริษัทแม่และบริษัทลูก

วิธีการต่อมาคือ การทำให้มีกำไรเพิ่มขึ้นในงวดปีนี้ก็คือ ค่าใช้จ่ายค้างจ่าย โดยตั้งรายการเป็นเงินทดรองจ่าย จากนั้นเมื่อถึงงวดต่อไปก็จัดการเคลียร์เป็น ค่ารับรอง ตัวเงินดังกล่าวก็จะอันตรธานหายวับไปกับตา

ทำอย่างไรจึงจะมองออกว่าผู้หญิงคนนี้ทำศัลยกรรมมา ..?  หรือดูออกว่างบการเงินนี้ถูกตกแต่งมา มีคำตอบเดียวคือ จะต้องใช้ปฏิภาณไหวพริบหรือใช้ความชำนาญ ประสบการณ์จากการหมั่นศึกษาดูบ่อยๆ  แต่มีวิธีการพิสูจน์อย่างง่ายๆ ด้วยการเปรียบเทียบงบข้ามงวดหรือข้ามปี หากรายการทางบัญชีเพิ่มขึ้นหรือลดลงจำนวนมากอย่างกระทันหัน ก็ให้ค้นหาไปที่ต้นตอว่ามีการเปลี่ยนแปลงงบการเงินที่รายการใดที่ "มีนัยสำคัญ"

การจับเท็จบัญชี หรือรายการบัญชีที่ควรใส่ใจมากเป็นพิเศษ คือ รายการสินค้าคงคลัง (รวมถึง วัตถุดิบ สินค้าระว่างผลิต สินค้าสำเร็จรูป สินค้าสำหรับขาย) ยอดขายค้างรับ เงินสำรองจ่าย ทรัพย์สินยกยอด ตลอดจนรายการที่ไม่ค่อยคุ้นหูคุ้นตา บางรายการอาจเกิดจากการการขายหุ้นของบริษัท ขายที่ดิน ขายสินทรัพย์แล้วนำมาบันทึกเป็นรายได้ ซึ่งยอดเงินจะสูงขึ้นทันตา วิธีการหลังๆ มักตรวจพบในบริษัทใหญ่ๆ ที่แต่งตัวเพื่อหลอกสายตาของนักลงทุน พวกนักเล่นหุ้นที่ขี้เกียจอ่านรายงานประจำปีหรือเป็นไม้เบื่อไม้เมากับการงิเคราะห์งบการเงินก็อาจถูกหลอกได้โดยง่าย

พึงระวังว่า .... บริษัทที่ชอบการตกแต่งบัญชี ในปีต่อๆไปก็มักจะตกแต่งเรื่อยไป เป็นเสมือนพวกเสพยาเสพติด เพราะเสพติดกับการนำเอากำไรมากินล่วงหน้านั่นเอง เวลาอ่านงบการเงินของบริษัทเหล่านี้ต้องระมัดระวัง ...บริษัทที่ตกแต่งศัลยกรรมเหล่านี้ทำทั้งหลอกตัวเองและหลอกผู้อื่น

พวกที่ชอบโยกเงินไม่ว่าจะเป็นด้านรายรับหรือรายจ่ายในบัญชี ก็เช่นเดียวกันผู้หญิงที่ทำศัลยกรรม เพราะเธอมักเสพติดการตกแต่งศัลยกรรมอยู่เรื่อยๆ  สุดท้ายก็ไปจบที่ทำโบท๊อกซ์หลอกตาตัวเอง

 เมื่อไม่กี่วันก่อนนี้ ผู้ตรวจสอบบัญชีได้เข้ามาตรวจสอบบัญชี ผู้เขียน (จขบ.)ในฐานะ VP ของกิจการ จึงได้แจ้งให้ผู้สอบบัญชีว่า หากแม้นว่าบัญชีของเรามีรายการใดที่ผิดปกติ แม้เราเองตรวจไม่เจอ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายค้างจ่าย หรือ รายได้ที่ค้างรับ หมายถึง กิจการไม่ได้จ่ายหรือรับตรงตามงวดบัญชีก็ตาม ให้ช่วยแจ้งแก่เราด้วย  เพราะนั่นคือรายการที่เราจะได้จับตามองอย่างจริงจังต่อไป

บทความโดย : http://oknation.nationtv.tv

 2958
ผู้เข้าชม
สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์