เห็นด้วยมั้ยว่าหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของหลายๆ คน คือ การประสบความสำเร็จทางการเงิน ซึ่งแน่นอนว่าเคล็ดลับสำคัญที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จทางการเงิน คือ การบริหารเงินในกระเป๋าของเรานั่นเอง อันที่จริงมันไม่สำคัญว่าวันนี้คุณมีรายได้เท่าไหร่ แต่สิ่งที่สำคัญคือคุณมีเงินออมเท่าไร และบริหารเงินออมของคุณให้มันงอกเงยออกดอกออกผลได้อย่างไรต่างหาก
เมื่อรู้แล้วว่าเราต้องมีเงินออม ลองตั้งคำถามกับตัวเองว่า ในแต่ละเดือนคุณจะ "เหลือเก็บก่อนแล้วค่อยเอาไปใช้ หรือ เหลือจ่ายก่อนค่อยเอาไปเก็บ" ลองพิจารณาสมการด้านล่างว่าแบบใดที่เป็นตัวคุณ
1. รายได้ - รายจ่าย = เงินออม (เหลือจ่าย ค่อยเอาไปเก็บ)
2. รายได้ - เงินออม = รายจ่าย (เหลือเก็บ ค่อยเอาไปใช้)
สมการออมเงินที่ดีต้องเป็นแบบข้อสอง คือ หักเงินออมไว้ก่อน ที่เหลือจึงนำไปใช้จ่าย เพื่อกันเงินสำหรับการเก็บออมอย่างสม่ำเสมอในแต่ละเดือน แต่สำหรับคนที่มองหาความมั่งคั่ง สมการแบบนี้ก็ยังไม่เพียงพอ ต้องเลือกใช้สมการเศรษฐี นั่นคือ
3. รายได้ - เงินออม - เงินลงทุน = รายจ่าย
โดยหลังหักเงินออมแล้ว ยังต้องแบ่งเงินส่วนหนึ่งไว้สำหรับลงทุนด้วย เพื่อให้เงินทำงาน เงินทองจะได้งอกเงยยิ่งๆ ขึ้นไป
เมื่อกล่าวถึงการลงทุนแล้ว ยิ่งเริ่มต้นลงทุนได้เร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้เปรียบมากขึ้นเท่านั้น ถ้าคุณเริ่มต้นออมเงินและลงทุนตั้งแต่วันนี้ คุณมีโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงกว่าเร็วขึ้น โดยระยะเวลาการลงทุนเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงสำหรับการได้รับผลตอบแทน เพราะยิ่งออมหรือลงทุนนานกว่า ก็มีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่มากกว่า และที่สำคัญต้องอย่าผัดวันประกันพรุ่งสำหรับการบริหารจัดการเงิน
ก่อนลงทุนสำรวจตัวเองว่าคุณยอมรับความเสี่ยงในการลงทุนได้มากน้อยเพียงใด ปัจจุบันสถาบันการเงินต่างๆ มีแบบทดสอบวัดระดับความเสี่ยงสำหรับลูกค้าก่อนตัดสินใจลงทุน เพื่อเลือกวัดระดับความเสี่ยงที่ลูกค้าแต่ละรายจะยอมรับได้ และเลือกประเภทการลงทุนให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ และเป้าหมายในการลงทุนของแต่ละบุคคล
นอกจากนี้ผลตอบแทนของการลงทุนแต่ละประเภทขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยง การลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อย ผลตอบแทนย่อมน้อยตาม แต่หากลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ก็อาจได้ผลตอบแทนที่สูงตามไปด้วยเช่นกัน แต่มีข้อพึงระวังว่าการลงทุนแบบนี้ก็เสี่ยงต่อโอกาสการขาดทุนได้เช่นเดียวกัน
ที่สำคัญอย่าลงทุนกับผลิตภัณฑ์ทางการเงินประเภทใดประเภทหนึ่งเพียงอย่างเดียวเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนสูง เพราะนั่นหมายถึงคุณมีความเสี่ยงที่สูงมากในกรณีที่เกิดการขาดทุน แต่การจัดสรรพอร์ตการลงทุนโดยลงทุนในผลิตภัณฑ์การเงินแต่ละประเภทอย่างเหมาะสม ในระดับที่มีความเสี่ยงน้อยไปถึงมาก จะช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนได้
พอร์ตการลงทุนสามารถแบ่งได้ตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เช่น พอร์ตการลงทุนสำหรับความเสี่ยงต่ำ พอร์ตการลงทุนสำหรับความเสี่ยงปานกลาง และพอร์ตการลงทุนสำหรับความเสี่ยงสูง โดยสินทรัพย์ลงทุนพื้นฐานมักจะเป็น เงินฝาก ตราสารหนี้ และตราสารทุน ตัวอย่างพอร์ตการลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่รับได้ดังนี้
- ตัวอย่างพอร์ตการลงทุนความเสี่ยงต่ำ: ตราสารทุน 20%, เงินฝาก 40%, ตราสารหนี้ 40%
- ตัวอย่างพอร์ตการลงทุนความเสี่ยงปานกลาง: ตราสารทุน 50%, เงินฝาก 20%, ตราสารหนี้ 30%
- ตัวอย่างพอร์ตการลงทุนความเสี่ยงสูง: ตราสารทุน 80%, เงินฝาก 10%, ตราสารหนี้ 10%
ซึ่งคุณสามารถจัดพอร์ตการลงทุนของคุณผ่านกองทุนรวมได้ด้วย
"การลงทุนมีความเสี่ยง" โดยเฉพาะถ้าลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่ซับซ้อนและให้ผลตอบแทนที่สูง จำเป็นต้องมีความรู้ ความเข้าใจ มีข้อมูลรอบด้าน และมีการวางแผนจัดการที่ดี เพื่อการตัดสินใจที่ถูกต้องแม่นยำ หากไม่มั่นใจให้เลือกปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน หรือผู้จัดการการเงินส่วนบุคคล ซึ่งจะช่วยให้การตัดสินใจลงทุนไม่ผิดพลาด และจะช่วยวางแผนการเงินให้สอดคล้องกับความต้องการและเป้าหมายในชีวิต เพื่อปูทางสู่อนาคตทางการเงินที่สดใสของคุณ
บทความโดย: นิภาพันธ์ พูนเสถียรทรัพย์