หากท่านกำลังตั้งคำถามนี้อยู่ล่ะก็ แสดงว่าท่านกำลังสนใจอยู่ว่าจะทำอย่างไรดี หรือไม่ก็กำลังจะต้องตัดสินใจว่าจะตั้งบริษัท หรือทำการค้าแบบบุคคลธรรมดาต่อไปดี ถ้าหากเป็นอย่างนั้นแล้วล่ะก็ ศึกษารายละเอียดตามนี้ได้เลย
เราจะมาพิจารณากันเป็นประเด็นๆไป แล้วคุณจะหาคำตอบได้ด้วยตัวคุณเอง
1.คุณจำเป็นต้องอาศัยความเชื่อถือที่ลูกค้ามีต่อธุรกิจของคุณหรือไม่? (ในกรณีที่เป็นลูกค้าใหม่ แต่หากเป็นลูกค้าที่ค้าขายกันมานานแล้วประเด็นนี้คงข้ามไปได้เลย)
ข้อพิจารณา หากคุณตอบว่าจำเป็น เราก็ตอบได้เลยว่า ควรจดเป็นบริษัทจำกัด หรือห้างหุ้นส่วนจำกัด เพราะหากคุณต้องการสร้างความน่าเชื่อถือให้เกิดขึ้นแก่ลูกค้าเป้าหมายแล้วละก็ คงไม่มีทางหลีกเลี่ยงเป็นอย่างอื่น เพราะจะทำให้ลูกค้าเป้าหมาย บุคคลทั่วไปเกิดความไว้วางใจได้ว่า เป็นบริษัทฯ มีความมั่นคง น่าเชื่อถือ คงไม่ใช่มาทำธุรกิจเล่นๆหรอกน่า (ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้วการเป็นบริษัทก็ไม่ได้บอกเราได้ว่าจะไม่มีการหลอกลวงกัน) หรือแม้แต่เจ้าหนี้การค้า หรือคนที่เราจะไปซื้อของหรือไปว่าจ้างให้เขามาทำงานให้ แม้แต่จะจ้างพนักงานให้มานั่งทำงานกับเรา เมื่อเห็นว่าเป็นบริษัท ก็จะให้ความเชื่อถือกันตั้งแต่แรกเลย ส่วนจะไว้วางใจกันมากน้อยเพียงไร เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
2.ข้อดีข้อเสียที่ควรพิจารณา ระหว่างนิติบุคคล กับ บุคคลธรรมดา
สรุปข้อดีข้อเสียระหว่างการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล กับการประกอบกิจการแบบบุคคลธรรมดา |
||
รายการ |
การเป็นนิติบุคคล |
การเป็นบุคคลธรรมดา |
จำนวนหุ้นส่วน |
เป็นการเข้าร่วมกันประกอบธุรกิจ อย่างน้อย2คนสำหรับห้างหุ้นส่วนจำกัด และต้องมีผู้เข้าหุ้นอย่างน้อย 7 คนสำหรับบริษัทจำกัด |
เป็นการดำเนินการโดยบุคคลคนเดียว |
การระดมเงินทุน |
มีการระดมเงินทุนจากผู้เป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้น ทำให้สามารถมีเงินทุนหมุนเวียนในกิจการได้สูง |
มีเงินทุนเพียงเท่าที่ตนเองลงไป |
การระดมความคิด |
มีการระดมความคิดมันสมองเข้ามาใช้ในการดำเนินกิจการ ทำให้เกิดความหลากหลายในความคิดและมุมมอง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นต้นเหตุของความล่าช้าและขัดแย้งทางความคิด |
คิดเอง ทำเอง ตัดสินใจได้รวดเร็ว ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนตามสถานะการณ์โดยแทบจะทันทีทันใด |
การตัดสินใจในการบริหารงาน |
มีคณะกรรมการบริหาร หากต้องมีการตัดสินใจที่สำคัญๆ ต้องขอมติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น |
ตัดสินใจด้วยตนเอง ไม่ว่าจะงานเล็ก หรือประเด็นใหญ่ |
การแบ่งจ่ายผลกำไรขาดทุน |
แบ่งตามสัดส่วนการเป็นหุ้นส่วน สำหรับห้างหุ้นส่วนฯ และแบ่งจ่ายโดยการจ่ายเงินปันผล ตามจำนวนหุ้นของผู้ถือหุ้นแต่ละคนว่าถืออยู่กี่หุ้น สำหรับบริษัทฯ |
รับผลกำไรขาดทุนแต่เพียงผู้เดียว |
การเสียภาษี |
เป็นการเสียภาษีจากยอดกำไรของของกิจการ หากในการดำเนินการมีกำไร ก็จะต้องเสียภาษี แต่หากขาดทุนก็ไม่ต้องเสียภาษี โดยหลักการคือการนำเอารายได้ หักค่าใช้จ่าย ที่เหลือคือกำไรที่ต้องนำมาเสียภาษี |
เป็นการเสียภาษีแบบเหมาจ่าย โดยการนำรายได้ของปีนั้นๆมาหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาจ่ายตามแต่ลักษณะธุรกิจ เมื่อหักแล้วเหลือเท่าไรค่อยนำเอามาคำนวนเพื่อเสียภาษีแม้ในปีนั้นขาดทุน ก็ต้องเสียภาษี |
อัตราภาษี |
เป็นแบบอัตราก้าวหน้า กำไร 1 ล้านบาทแรก เสียภาษี 15 % กำไรล้านที่ 2 ถึง 3 ล้านบาท เสียภาษี 25 % กำไรตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป เสียภาษี 30 % |
เป็นแบบอัตราก้าวหน้า เงินได้หลังหักค่าใช้จ่าย 1 แสนบาทแรก ยกเว้นภาษี เงินได้หลังหักค่าใช้จ่าย 1 แสน-5แสนบาทเสียภาษี10% เงินได้หลังหักค่าใช้จ่าย 5แสน-1ล้านบาทเสียภาษี20% เงินได้หลังหักค่าใช้จ่าย 1ล้าน-4ล้านบาทเสียภาษี30% เงินได้หลังหักค่าใช้จ่าย4ล้านบาทขึ้นไปเสียภาษี37% |
การบันทึกบัญชี |
ต้องจัดให้มีการทำบัญชีและการสอบบัญชีโดยผู้ที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์ (มีค่าใช้จ่ายในการทำบัญชีและการสอบบัญชี) |
หากเป็นการคิดค่าใช้จ่ายแบบเหมาจ่าย ไม่ต้องมีการจัดทำบัญชี แต่หากเป็นการคิดค่าใช้จ่ายตามจริงก็ต้องจัดให้มีการทำบัญชี |
ความรับผิดของกิจการ |
หากเป็นบริษัทผู้ถือหุ้นจะรับผิดชอบเท่าที่หุ้นที่ถืออยู่ หากเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด หุ้นส่วนจะรับผิดชอบเท่าทีลงเงินไป ( ดูรายละเอียดในเรื่องบริษัทและห้างฯ เพิ่มเติม ) |
ผู้เป็นเจ้าของกิจการต้องรับผิดชอบไม่จำกัดวงเงิน |
ความน่าเชื่อถือที่มีต่อบุคคลภายนอก |
จะได้รับความน่าเชื่อถือ ความไว้วางใจจากบุคคลภายนอกมากกว่า ดูเป็นทางการมากกว่า |
อาจจะมองดูว่าไม่มีความมั่นคง ไม่ใช่มืออาชีพเป็นการฉาบฉวย กลัวในเรื่องความรับผิดชอบ |
3.หากจะเสียภาษีให้ประหยัดที่สุดควรเลือกจดแบบไหนดี
ข้อพิจารณา หากกิจการของคุณคาดการณ์ได้ว่าจะมีกำไรเกิน 1ล้านบาทต่อปี หรือตอนนี้กำลังทำธุรกิจแบบบุคคลธรรมดาอยู่แล้วกำไรสุทธิก่อนภาษีกำลังจะเกิน 1ล้านบาท คุณควรเลือกที่จะจดทะเบียนเป็นแบบนิติบุคคล โดยมีทุนจดทะเบียนไม่ควรเกิน 5 ล้านบาทเพื่อให้เข้าเงื่อนไขSME ตัวอย่างเช่น คุณกำไร 3 ล้านบาท หากคุณเป็นนิติบุคคล คุณจะประหยัดภาษีได้ถึง 90,000บาททีเดียว และหากคุณกำไร 5 ล้าน คุณจะประหยัดภาษีได้ถึง 160,000บาท
บทความโดย : MichaelShaw
ที่มา : www.ThaiTaxINFO.com