ปัจจุบันธุรกิจครอบครัวจำนวนมากสร้างความเป็นมืออาชีพให้กับองค์กรเพื่อที่จะได้ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตามมาตรฐานที่กำหนดโดยผู้เชี่ยวชาญนั้น บริษัทที่จะพิจารณาว่ามีความเป็นมืออาชีพก็ต่อเมื่อมีการวางแผนอย่างเต็มรูปแบบในการสร้างวัฒนธรรมที่เน้นผลงาน ซึ่งประกอบไปด้วยการกำหนดเป้าหมาย การทำให้เกิดความยุติธรรมและความเสมอภาคโดยการให้รางวัลแบบมีโครงสร้าง และมีกระบวนการอย่างเป็นทางการในการจ้างงาน การประเมินและการเลื่อนตำแหน่งโดยใช้เครื่องมือชี้วัดประสิทธิภาพในการทำงาน นอกจากนี้ยังมีอีกวิธีหนึ่งในการวัดความเป็นมืออาชีพของธุรกิจครอบครัว นั่นคือการวัดความสมดุลระหว่างการจัดลำดับความสำคัญทางการเงินกับต้นทุนของครอบครัวที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจ (family capital) ซึ่งหมายถึง ความสัมพันธ์ ธรรมเนียม ค่านิยม สิทธิและกฎเกณฑ์ของครอบครัว ซึ่งพบว่ามีความเกี่ยวข้องกันเป็นพิเศษในบริษัทแถบเอเชียที่ความสัมพันธ์ของสมาชิกในครอบครัวยังคงมีความแน่นแฟ้นอยู่
การศึกษาจากฐานข้อมูลลูกค้าจำนวนมากและการสำรวจธุรกิจครอบครัวทั่วโลก 160 แห่ง (รวมถึงบริษัทในเอเชีย 35 แห่ง) ของ Exvo (หน่วยงานวิจัยของ Moody Corporation) โดยบริษัท Hay Group ได้พัฒนา Happiness Index ซึ่งทำให้เจ้าของธุรกิจมีตัวชี้วัดความแข็งแกร่งของต้นทุนของครอบครัวและจุดแข็งของธุรกิจ โดย Happiness Index จะติดตามดูการมีอิทธิพลต่อกันระหว่างความเป็นมืออาชีพและปัจจัยขับเคลื่อนหลักของต้นทุนของครอบครัว ซึ่งได้แก่ 1) คุณค่าที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น (heritage) ซึ่งหมายถึง ความรู้ ความสัมพันธ์กับบุคคลภายนอก ชื่อเสียงครอบครัว และความเป็นเอกลักษณ์ของธุรกิจ 2) ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัว (kin interaction) ซึ่งเกิดได้จากการทำให้สมาชิกในครอบครัวมีความคาดหวังเดียวกัน และให้ทุกคนมีส่วนร่วมทางธุรกิจ และ 3)โครงสร้างในการปกครองและดำเนินธุรกิจ (civic structure) หมายถึงหลักการ กฎเกณฑ์ วิธีการที่ใช้ในการปกครองและดำเนินธุรกิจ ดังนั้นจากการแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มความสัมพันธ์และที่มาของต้นทุนของครอบครัว Happiness Index จึงช่วยให้ครอบครัวที่เป็นเจ้าของธุรกิจ กำหนดเป้าหมายในเรื่องที่ถูกต้อง รวมถึงเพิ่มโอกาสที่จะอยู่ได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว และเป็นการตรวจสอบว่าบริษัทของพวกเขาจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยปราศจากความสุขของครอบครัวได้อย่างไร (ภาพที่ 1)
อย่างไรก็ตามอุปสรรคของการเป็นมืออาชีพที่พบได้แก่ ต้นทุนตัวแทน (agency cost) และต้นทุนทางคุณธรรม (integrity cost) โดยต้นทุนตัวแทนนั้นคือค่าใช้จ่ายที่จ่ายให้กับผู้บริหารมืออาชีพจากภายนอกที่เข้ามาทำงานในบริษัท รวมถึงโบนัสในการบริหารงานที่จ่ายเพื่อสนับสนุนให้ตัวแทนเหล่านั้นดำเนินการในด้านต่างๆตามความสนใจของครอบครัว ขณะที่ต้นทุนทางคุณธรรมนั้นเกี่ยวข้องกับข้อห้ามต่างๆของบริษัทและทีมผู้บริหารจะกระทำอย่างเปิดเผยหรือไม่ แม้ว่าเรื่องนี้จะมักสร้างความดุเดือดให้เกิดขึ้นในห้องประชุมคณะกรรมการบริหารได้ทุกองค์กร แต่ก็มักจะมีกลวิธีเฉพาะของธุรกิจครอบครัวในเอเชียซึ่งมีแนวคิดในเรื่องของการรักษาหน้า (saving face) และความสัมพันธ์ทางสายเลือด (blood-ties) ที่จะปกปิดเอาไว้
ดังนั้นธุรกิจครอบครัวที่มีประสิทธิภาพจึงหมายถึง บริษัทที่มีต้นทุนของครอบครัวมากกว่าต้นทุนในการสร้างความเป็นมืออาชีพ ซึ่งในความเป็นจริงจากการศึกษาพบว่าบริษัทที่อายุกิจการมากกว่ามักจะมีต้นทุนตัวแทนและต้นทุนทางคุณธรรมที่สูงกว่าบริษัทที่อายุกิจการน้อย ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจครอบครัวที่กำลังเติบโตขึ้นที่ต้องคอยตรวจสอบว่าต้องมีการเพิ่มต้นทุนของครอบครัวที่ส่งผลทางบวกในการดำเนินธุรกิจนั้นจะต้องมีจำนวนมากกว่าอุปสรรคในการเป็นมืออาชีพอีกด้วย
บทความโดย : http://www.thansettakij.com