การที่เราเห็นการเปลี่ยนแปลงในอดีต ทำให้สามารถพยากรณ์การเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้ ทฤษฎีทางการบัญชีแบ่งเป็น 3 ยุค
- มีการหา empirical Test มากขึ้น (การทดสอบเชิงประจักษ์จากข้อมูล) จะมุ่งเน้นไปที่ปฏิกิริยาทางการตลาดที่มีต่อข้อมูลทางการบัญชีที่รายงานออกไป
- จะศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกำไรทางการบัญชีกับผลตอบแทนของตลาด( Market Return)ซึ่งอยู่ในบทบาทของข้อมูลทางการบัญชี
การทดสอบPositive accounting Theory (ทฤษฎีเชิงบวก)
ทำไมต้องรู้ว่าผลการวิจัยเป็นอย่างไร
Classical approach การศึกษางานวิจัยยุคที่ 1 พบว่า
- Normative ควรทำในลักษณะปกติคือ ควรจะเป็นอย่างนี้ แบบนี้
- กิจการควรมี True Picture อย่างไร คือการลงบัญชีโดยการอ้างอิงจากหลักฐานที่มีอยู่
- Price ควรใช้ Current Cost หรือ Replacement Cost หรือHistorical Cost
- ในยุคนี้ยังไม่มีการทดสอบ ตรวจสอบ เกี่ยวกับปฏิกิริยาของผู้ใช้ต่องบการเงิน ยังไม่มีใครทดสอบว่าปฏิกิริยาของผู้ใช้เป็นอย่างไร
- ใช้เทคนิค Ratioในการวิเคราะห์ราคาหุ้น
- ยังไม่มีการทดสอบใด ๆ
Market – based accounting research การศึกษางานวิจัยยุคที่2 พบว่า
- เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของบทบาททางการบัญชีซึ่งมีผลกระทบต่องานวิจัยอย่างมาก ๆ ให้กำเนิด
- Efficient Market hypothesis ( สมมติฐานด้านประสิทธิภาพของตลาด)ตลาดจะเป็นตลาดที่มีประสิทธิภาพถ้าราคาหลักทรัพย์นั้นถูกสะท้อนจากข้อมูลที่มีอยู่
ซึ่งข้อมูลที่มีอยู่มาจาก Set Information โดยการแบ่งข้อมูลออกเป็น 3 ระดับ
2. ถ้าประกาศกำไรแล้วมีผลต่อราคาตลาดแสดงว่าตลาดนั้นมีประสิทธิภาพในระดับ Semi strong form
3. ถ้าราคาตลาดได้สะท้อนข้อมูลที่มีไว้แล้วสถานการณ์จะเป็นอย่างไรไม่มีผลต่อการกำหนดราคา คือไม่สามารถที่จะทำกำไรผิดปกติได้แสดงว่าตลาดนั้นมีประสิทธิภาพในระดับ Strong form
* ของประเทศไทยและต่างประเทศอยู่ในระดับ Weak formและ Semistrong form แต่จากงานวิจัยต่างประเทศ พบว่า บางฉบับ Weak formบางฉบับ Semistrong form ยังหาข้อสรุปไม่ได้แต่ตลาดบอกว่า Support Weak form กับSemistrong form
Modern Portfolio Theory
อัตราผลตอบแทนของกิจการย่อมมีผลต่ออัตราผลตอบแทนของตลาด ความเสี่ยงย่อมมีผลต่อค่าชดเชยความเสี่ยง
จากการทดสอบพบว่า
กลุ่มที่ 1 สมัยก่อนเชื่อว่า Value จากการ Test of EMH Vs Mechanistic hypothesis จะมีมูลค่าของกิจการตามหน้างบการเงิน งบการเงินมาอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ไม่มีความรู้ไม่รู้จะปรับอย่างไร
กลุ่มที่ 2 EMS ยึดว่าราคาต้องสะท้อนมาจากราคาตลาดที่มีประสิทธิภาพ (Information available) ตามหลัก EMH ซึ่งInformation EMH แบ่งเป็น 3 Class แต่ตามมาตรฐานการบัญชียึดตาม Financial Statement
กลุ่มที่ 3 ผลจากการทดสอบพบว่าราคาหุ้นต้องมีการIncrease or decrease
* ทางการบัญชีเชื่อว่าถ้าวิธีการบัญชีเปลี่ยน Stock Price ก็ควรเปลี่ยน แต่ EMH ไม่เห็นด้วย
Ball and Brown Study (1968)ได้ศึกษา
Information Content Studies จะวัดเกี่ยวกับ
* Market Reaction กับ Earnings ที่ประกาศ ถ้ามีการประกาศกำไร Price ต้องขยับ Abnormal Returnsหมายความว่าReturn เกิดการแกว่งตัวผิดปกติและการแกว่งตัวสอดคล้องกับผลกำไร
Relationship Between Earnings and Stock
Return การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างEarnings and Stock โดยได้ทำการศึกษา 3 ตัว
ตัวแปรข่าวดี ข่าวร้าย กับ Abnormal return
Positive Accounting Research สำหรับใช้อธิบายและ Predict
- เป็นกลุ่มการวิจัยช่วงสุดท้ายคือช่วงปฏิบัติ
- เป็นการอธิบายวิธีการปฏิบัติทางการบัญชีว่ามีผลต่องบการเงินอย่างไร
- Positive Accounting Theory มีไว้เพื่ออธิบายพฤติกรรมของฝ่ายบริหารคือพฤติกรรมที่ทำแล้วมีผลต่อรายงานทางการบัญชี ไม่ใช่พฤติกรรมทั่วไป
ทำไมผู้บริหารจึงมีพฤติกรรมต่าง ๆ ด้วย Positive Accounting Theory จึงเริ่มด้วยการอธิบายถึง บุคคล 2 กลุ่ม คือ ตัวการ(Agent) กับ ตัวแทน (Possible)
Positive Theory โดยปกติจะTest 3 กลุ่ม ใหญ่ ๆ
Empirical Research มีการประเมินถึงจุดที่สำคัญถึงสิ่งที่ค้นพบจากงานวิจัย กึ่งกลางระหว่างวิวัฒนาการจากผลการวิจัยพบว่า
Market Anomalies or Market Abnormal
DeBondt and Thaler (1985) พบว่าถ้าราคาหุ้นของบริษัทที่ผลการดำเนินงานไม่ดี 5 ปี ก็จะอัตราผลตอบแทนที่ต่ำไปอีก 3 ปี เมื่อเทียบกับบริษัทที่มีผลการดำเนินงานดี Lakonishok et al (1994) เมื่อกิจการมีกำไรต่ำลง ราคาก็จะต่ำลงอย่างรวดเร็ว อัตราส่วน book to market จะสูง
ทิศทางของงานวิจัยในปัจจุบัน จะพูดถึงหลักการของมูลค่ากิจการ การวิเคราะห์ fundamental และมุ่งเน้นถึงพฤติกรรมของหุ้นต่อการตอบสนองกำไร จะมองเน้นการพยากรณ์มากขึ้น อาจจะมีงานวิจัยบน ERC มากขึ้น ราคาสามารถใช้ในการพยากรณ์กำไรในอนาคต
บทความโดย : http://xn--12cfjb4gd5dd4a6b2cxaftl4pk4s.blogspot.com