การกระจายการลงทุน หรือการจัดสรรเงินลงทุน (Asset Allocations) เป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการลงทุนของนักลงทุนทุกๆ คน รูปแบบการกระจายการลงทุนของนักลงทุนแต่ละคนมักจะมีรูปแบบที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ส่วนบุคคล วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของการลงทุน และข้อจำกัดอื่นๆ เป็นต้น โดยการกระจายการลงทุนที่ดี สิ่งที่นักลงทุนควรคำนึงถึง 2 สิ่งก็คือ การกระจายการลงทุนสามารถให้ผลตอบแทนตามที่คาดหวังแก่นักลงทุนได้ และความเสี่ยงอยู่ในเกณฑ์ที่นักลงทุนสามารถยอมรับได้เช่นเดียวกัน
การเลือกลงทุนในสินทรัพย์ (Assets) เพียงกลุ่มเดียว มีแนวโน้มให้นักลงทุนประสบกับความเสี่ยงด้านความผันผวน (Volatility) ของราคา สูงกว่าการลงทุนแบบกระจายการลงทุน ซึ่งการกระจายการลงทุน นักลงทุนสามารถเลือกกระจายการลงทุนออกไปยังสินทรัพย์ที่ต่างชนิดกันเช่น การลงทุนในหุ้นสามัญ ลงทุนในตราสารหนี้ พันธบัตรรัฐบาล หรือเลือกลงทุนใน Financial Alternatives อย่าง Peer-to-Peer Lending Platform (P2P) เป็นต้น หรือจะเป็นการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่อยู่ในอุสาหกรรมที่แตกต่างกันก็สามารถทำได้ และประโยชน์ของการกระจายการลงทุนจะยิ่งเห็นได้ชัดก็ต่อเมื่อได้ทำการลงทุนไปสักระยะหนึ่งแล้ว หรือส่งผลดีในการลงทุนระยะยาวนั่นเอง และนั่นก็เป็นเพราะในระยะสั้น ผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนอาจจะมีตกลงบ้างตามวัฎจักรของเศรษฐกิจซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ
แม้ Asset Allocations จะเป็นกลยุทธ์ที่นักลงทุนหลายๆ คนเคยได้ยิน แต่การลงทุนโดยอาศัยกลยุทธ์นี้ เป็นสิ่งที่นักลงทุนส่วนใหญ่มองข้ามในการพิจารณา การกระจายการลงทุน ที่ดีและเหมาะสมกับตัวเอง โดยนักลงทุนส่วนมากคิดว่า การเลือกกระจายการลงทุนลงในเครื่องมือทางการเงินอะไรบ้างนั้น เป็นเพียงการแบ่งเงินทุนไปลงทุนในสินทรัพย์หลายๆ อย่างให้ได้มากที่สุดเท่านั้น โดยไม่คำนึงถึง ความเสี่ยงของแต่ละสินทรัพย์ ซึ่งเป็นผลให้พอร์ตการลงทุนในลักษณะนี้ไม่มีประสิทธิภาพนั่นเอง
สิ่งที่นักลงทุนควรตั้งคำถามกับตนเอง เกี่ยวกับการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงมีดังนี้
บทความโดย: moneywecan
