ผมเป็นหนึ่งในกรรมการการบริหารของคณะกรรมการสภานโยบายการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัย นวัตกรรม แห่งชาติ (กอวช.) และได้มีโอกาสร่วมเสวนาเรื่องมาตรการ อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัย และนวัตกรรมแห่งชาติ เพื่อสนับสนุน ผู้ประกอบการเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันกับคณะกรรมการบริหารหลายท่าน ทำให้ผมมีโอกาสได้รับทราบข้อมูลของการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการ SME ที่ประสบวิกฤติโดยเฉพาะสภาพคล่องทางการเงินและปัญหาของการดำเนินธุรกิจ มีความจำเป็นจะต้องได้รับความสนับสนุนจากรัฐบาลและภาคเอกชน เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและการสนับสนุนทางการเงินแก่ SME อันจะเป็นประโยชน์ในการที่จะอยู่รอดหลัง Covid-19 ได้ จึงขอนำมาสรุปให้ทราบพร้อมข้อเสนอดังนี้ครับ
จำนวนผู้ประกอบการในประเทศไทย
จากข้อมูล สสว. พบว่า มีผู้ประกอบการขนาดใหญ่กว่า 14,102 ราย มีการจ้างงาน 5.3 ล้านคน
- ผู้ประกอบการขนาดกลางจำนวน 40,652 ราย มีการจ้างงาน 2.4 ล้านคน
- ผู้ประกอบการขนาดกลาง จำนวน 384,960 ราย มีการจ้างงาน 5.4 ล้านคน
- ผู้ประกอบการรายย่อย Micro 2,644,561 ราย มีการจ้างงาน 5.4 ล้านคน
- ผู้ประกอบกิจการ Start Up จำนวน 1,700 ราย (ข้อมูล สนช. ปี 2561)
โดยหากแบ่งกลุ่มธุรกิจผู้ประกอบการ จะพบว่าผู้ประกอบการ SME และรายย่อยมีประมาณ 3.11 ล้านราย มีการจ้างงาน 12.1 ล้านคน ส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคของการค้าและภาคบริการเป็นหลัก
ปัญหา และความต้องการของธุรกิจรายย่อยและรายเล็ก รายกลางและรายใหญ่ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันนั้น อาจแบ่งได้ดังนี้คือ
ทั้งนี้ ในเอกสารของ สอวช. ได้มีข้อเสนอเพื่อให้เกิดอีโคซิสเต็มในนวัตกรรมของภาคอุตสาหกรรม โดยไม่ได้ระบุถึงการค้าอื่น โดยมีปัจจัยหลัก 7 ประการดังนี้คือ
ปัญหาข้อจำกัดในระบบบัญชีนวัตกรรมของไทย คือ
1.1 สินค้าไม่ตรงตามความต้องการ
1.2 หน่วยงานรัฐไม่เลือกซื้อเพราะไม่มีกลไกบังคับให้หน่วยงานของรัฐต้องซื้อจากนวัตกรรม
1.3 การขึ้นทะเบียนล่าช้าหากเป็นยาและวัสดุสิ้นเปลืองที่ต้องรอขึ้นทะเบียนซึ่งใช้เวลามาก ซึ่งข้อแก้ไขก็ควรจะมีการกำหนดสเป๊กไว้ล่วงหน้าสร้างระบบสั่งซื้อภาครัฐ โดยนำมาอยู่ในบัญชีนวัตกรรมให้เป็นตัวเลือกของแต่ละหน่วยงาน รวมทั้งการขึ้นทะเบียนอัตโนมัติ ถ้ากรณีเป็นยาและวัสดุสิ้นเปลือง
ข้อเสนอมาตรการทางการเงินเพื่อประกอบการนวัตกรรมของ กอวช.
นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอด้านกำลังคนไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดตั้ง Clearing House เพื่อเชื่อมโยงนักเรียนทุนและบุคคลที่บริษัทต้องการทำเพื่อจะส่งบุคคลเหล่านั้นไปช่วยเหลือบริษัท รวมทั้งการจัดทำโครงสร้างพื้นฐานและความต้องการของตลาด
ข้อเสนอทางการเงินเพื่อช่วย SME : Big Data จำเป็นอย่างยิ่ง
เนื่องจากสภาพคล่องทางการเงินมีความสำคัญอย่างยิ่งของธุรกิจในช่วง Covid-19 รัฐบาลจึงจำเป็นต้องมีมาตรการทางการเงินมาช่วย SME ซึ่งผมมีข้อเสนอดังนี้
ดังที่ผมได้เคยเสนอไปแล้วว่า ทำอย่างไรที่ข้อมูล SME รวมถึงประชาชนผู้ทำงานลูกจ้างทุกคนที่มีอยู่กระจัดกระจายจะสามารถรวมศูนย์ได้ในที่เดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความช่วยเหลือผ่านลูกหนี้ของสถาบันการเงินที่เป็น SME และบรรดาลูกหนี้รายย่อยที่บรรดาสถาบันการเงินทั้งของเอกชนหรือของรัฐ ต่างมีข้อมูลของบรรดาผู้ประกอบการ SME แลผู้ประกอบการรายย่อย เหล่านั้นอยู่ครบถ้วนแล้ว
ดังนั้น รัฐควรใช้โอกาสนี้ในการนำข้อมูลของ SME และรายย่อยทั้งหมดที่มีอยู่กว่า 3.1 ล้านราย ที่บรรดาสถาบันการเงินทั้งภาครัฐและเอกชนมีอยู่ และที่มีความจำเป็นจะต้องได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล มารวบรวมเพื่อให้เงินกู้ในอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนในช่วงโควิดมาพิจารณา
โดยสถาบันการเงินเหล่านี้ต้องพิจารณาดูว่า ธุรกิจประเภทใดที่มีความจำเป็นจะได้รับความช่วยเหลืออย่างแท้จริง โดยมีเงื่อนไขที่ว่าจะต้องไม่มีการเลิกจ้างคนงานที่มีอยู่เป็นจำนวนกว่า 12 ล้านคน โดยการให้ความช่วยเหลือก็อาจยังคงเป็นรูปแบบของการให้เงินกู้หมุนเวียน ในอัตราดอกเบี้ยที่ถูกในช่วงระยะกว่า 1.7 ปี โดยพิจารณาว่าบริษัทดังกล่าวนี้เป็นลูกหนี้ชั้นดีของธนาคารหรือไม่ หรือหากเป็นลูกหนี้ที่เสียภาษีให้กับรัฐบาลมาก่อน ก็ควรให้คิดอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนแก่ผู้ประกอบการที่มีประวัติการเสียภาษีมากกว่าผู้ประกอบการธุรกิจที่ไม่เคยได้เสียภาษี
รวมถึงการกำหนดเงื่อนไขของการจ้างพนักงานโดยรัฐบาลก็จ่ายเงินสมทบกับเงินเดือนของลูกจ้าง พนักงาน เหล่านั้นโดยกำหนดให้ข้อมูลเหล่านั้น โดยเงินหมุนเวียนกังกล่าวจะต้องโอนผ่านบัตร Smart Card เท่านั้น เพื่อรัฐบาลจะสามารถมีข้อมูลดังกล่าว ในการใช้เงินดังกล่าวให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ
ปัจจุบัน รัฐบาลมีแหล่งข้อมูลของประชาชน ผู้ประกอบการมีอยู่หลายหน่วยงานไม่ว่าจะเป็น ผู้เสียภาษีของกระทรวงการคลัง ลูกจ้างของกระทรวงแรงงาน ผู้ยากจนของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือเกษตรกร หรือประมงของกระทรวงเกษตรฯ หรือชาวไร่อ้อยของกระทรวงอุตสาหกรรม ข้อมูลของประชาชนเหล่านี้เป็นข้อมูลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งที่รัฐบาลจะนำมาพิจารณาดูว่าหากช่วยเหลือผ่านบัตร Smart Card แล้วจะมีการหมุนเวียนเงินในระบบจำนวนมาก โดยเฉพาะหลัง Covid-19 มีธุรกิจประเภทใดที่จะรอดและจ้างคนงานได้ รวมถึงมีโอกาสพัฒนาขีดความสามารถผู้ประกอบการที่ได้รับความช่วยเหลือเหล่านั้น ที่มีผลกำไรและนำเงินกู้มาคืนรัฐและเสียภาษีในการอนาคต และที่สำคัญคือ ต้องให้เกิดการหมุนเวียนในระบบหากมีการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ
ทางสภาหอการค้าไทยได้เคยให้มหาวิทยาลัยหอการค้าทำการวิจัยเรื่องการเสริมสภาพคล่องให้กับ SME เรื่องเสริมสภาพคล่องเพื่อพนยุงการจ้างงาน พอสรุปได้ดังนี้
- ประเทศไทยมี SMEs ทั้งระบบจำนวนประมาณ 3.11 ล้านราย และในจำนวนนี้มีการจ้างงานรวมประมาณ 12.1 ล้านตำแหน่ง
- หากมีการอัดฉีดสภาพคล่องให้กับ SMEs ในวงเงิน 500,000 ล้านบาท จะทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเป็นมูลค่าประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท (หรือมี Multiplier Effect ประมาณ 2.5 เท่า) และจะช่วยพยุงการจ้างงานในระบบเศรษฐกิจได้ประมาณ 1.3 ล้านตำแหน่ง (หรืออาจจะกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่าการอัดฉีดสภาพคล่องให้กับ SMEs ทุกๆ 100,000 ล้าน จะทำให้มีเงินทุนหมุนเวียนในระบบเป็นมูลค่าประมาณ 247,128 ล้านบาท และจะพยุงการจ้างงานในระบบเศรษฐกิจได้ประมาณ 261,417 ตำแหน่ง) หากมีการอัดฉีดเงินเข้าระบบผ่านบัตรจะทำให้รัฐบาลได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ในแง่การวางแผนและการปฏิรูปโครงสร้างภาษีของประเทศในระยะกลางและระยะยาว
ตัวอย่างที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เสนอให้มีการปรับโครงสร้างหนี้ ลูกหนี้ธุรกิจที่มีเจ้าหนี้หลายราย สำหรับลูกหนี้มีเงินรวมตั้งแต่ 50-500 ล้านบาท ซึ่งมีฐานะปกติหรือ NPL ตั้งแต่ 1 มกราคม 2562 เว้นแต่พิสูจน์ได้ว่าได้รับผลแระทบจากภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์โควิด ก็มีข้อเสนอให้แก้ไขหนี้เดิมโดยการขยายเวลา ลดค่างวดและให้สินเชื่อใหม่
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วลูกหนี้เหล่านี้ไม่สามารถเข้าถึงได้ง่าย รัฐบาลจึงควรมีมาตรการที่เร่งด้วยและเข้าถึงง่าย การมีข้อมูลใน Big Data ของบรรดา SME จึงสำคัญ รวมทั้งการโอนเงินกู้เข้าบัตร Smart Card ก็จะเป็นทางหนึ่งที่ช่วยให้ SME เข้าถึงแหล่งเงินได้ง่าย
ผมขอเสนอให้การโอนเงินช่วยเหลือของโครงการดังกล่าวข้างต้น ที่จะมีให้กับประชาชนโดยให้รัฐบาลควรโอนผ่านบัตร Smart Card หรือจัดทำ Application หรือบัตรให้กับประชาชนโดยควรเริ่มจากผู้ยื่นเสียภาษีทั้งหมดซึ่งมีประมาณ 11.57 ล้านคน มีผู้เสียภาษี 4.65 ล้านราย เพื่อให้บุคคลกลุ่มนี้ได้ใช้จ่ายผ่านบัตรหรือให้หักเป็นเครดิตภาษีได้โดยเฉพาะโครงการ "เราเที่ยวด้วยกัน" ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย คนกลุ่มนี้จะสามารถใช้จ่ายเพิ่มเติมมากขึ้นอีกได้มากกว่า 1 เท่า หรือ 2 เท่า
รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนกลุ่มนี้เพิ่มเติมนอกเหนือจากบรรดาประชาชนลูกจ้างรัฐวิสาหกิจและใช้ข้อมูลนี้สำหรับโอนเงินช่วยเหลือหากมี Covid-19 ระบาดรอบสองแก่กลุ่มเปราะบาง ก็ควรจะผ่านระบบ Smart Card
รัฐบาลต้องมีเจตจำนงในการที่จะรวบรวมข้อมูล (Big Data) ทุกภาคส่วนมารวมอยู่ในที่เดียวกันผ่านกระทรวงDE แทนที่จะมีข้อมูลอยู่แต่ละกระทรวง อันจะเป็นการประหยัดงบประมาณแผ่นดินด้วย เพราะโอกาสนี้เป็นโอกาสเดียวที่รัฐบาลจะมีข้อมูลของผู้ประกอบการและประชาชนครบถ้วนสมบูรณ์ เพื่อแลกเปลี่ยนกับความช่วยเหลือจากรัฐบาล และในอนาคตรัฐบาลก็สามารถให้ความช่วยเหลือได้ตรงจุด และสามารถปฏิรูปโครงสร้างภาษีของประเทศในระยะยาว จากข้อมูลของประชากรที่ครบถ้วนถูกต้องได้อย่างแน่นอน