การลงทุน แบบกระจาย VS แบบโฟกัส แบบไหนดีกว่ากัน ?

การลงทุน แบบกระจาย VS แบบโฟกัส แบบไหนดีกว่ากัน ?

การลงทุน แบบกระจาย VS แบบโฟกัส แบบไหนดีกว่ากัน?

“อย่าเอาไข่ทุกฟองที่มีไปใส่ในตะกร้าใบเดียว”
“Don't put all your eggs in one basket”

เป็นสำนวนที่พูดกันบ่อยในโลกการลงทุน

        ในแง่ของการลงทุน สำนวนนี้จะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบว่า การลงทุนลงแรงให้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียว ถ้าพลาดขึ้นมาเราอาจได้รับความเสียหายอย่างหนัก

        แต่ในขณะเดียวกันก็มีบางคนบอกว่า ถ้าเราอยากได้ผลตอบแทนมากกว่าคนอื่น ก็ควรจะโฟกัสไปที่การทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียวหรือไม่กี่อย่าง การลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง (Diversified Investment) คือ การแบ่งเงินเพื่อไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความหลากหลาย เช่น ถ้าเรามีเงินอยู่หนึ่งก้อน เราอาจนำไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล 20%, หุ้นกู้ 30%, หุ้น 40% และอีก 10% ฝากไว้ในธนาคาร

        ที่ต้องทำแบบนี้ ก็เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุนในสินทรัพย์ชนิดเดียว เช่น ถ้าเรานำเงินทั้งก้อนไปลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียว ถ้าเกิดปัญหากับบริษัทที่เราลงทุน เราก็อาจจะขาดทุนในปริมาณมากจากการลงทุนในบริษัทนั้นได้ หรือถ้าเราจำกัดให้เหลือเพียงแค่การลงทุนในหุ้น การกระจายการลงทุนในตลาดหุ้นที่ง่ายที่สุด ก็คือการนำเงินไปลงทุนในกองทุนรวมดัชนี (Index Fund) ยกตัวอย่างในประเทศไทย เช่น กองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นที่อยู่ใน SET50 หรือก็คือกองที่ลงทุนในหุ้นที่มีขนาดใหญ่ 50 อันดับแรกในตลาดหุ้นไทย ในต่างประเทศ เช่น กองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นที่อยู่ใน S&P 500 ซึ่งเป็นกองที่ลงทุนในหุ้นที่มีขนาดใหญ่ 500 อันดับแรกในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา

        ข้อดีของการกระจายการลงทุนในลักษณะนี้ก็คือ ถ้าเราลงทุนในระยะเวลาที่นานมากพอ โดยเฉลี่ยแล้วเราจะได้ผลตอบแทนที่ดีในระดับหนึ่งซึ่งใกล้เคียงกับตลาด และโอกาสที่จะขาดทุนหนักๆ จากการลงทุนจะมีน้อย ตัวอย่างของเรื่องนี้ เช่น ดัชนี S&P 500 ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยถึงปีละ 10% ในช่วงปี 1965-2019 หมายความว่า ถ้าเราลงทุนด้วยเงิน 1 ล้านบาท ในปี 1965 ในกองทุนรวมที่กระจายการลงทุนในหุ้นที่อยู่ในดัชนี S&P 500 ผ่านไป 54 ปี เงินลงทุนของเราจะเติบโตเป็น 172 ล้านบาท ซึ่งสำหรับหลายคน ผลตอบแทนในระดับนี้ ก็คงจะเป็นที่น่าพอใจมากแล้ว..

แต่ถ้าเราอยากได้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีมากขึ้นไปอีก ก็มีอีกทางเลือกที่น่าสนใจ นั่นก็คือ “การลงทุนแบบโฟกัส (Focus Investment)”

        ถ้าพูดถึงเฉพาะการลงทุนในตลาดหุ้น การลงทุนแบบโฟกัส จะเป็นการเน้นการลงทุนไปในหุ้นไม่กี่ตัว และมูลค่าที่ลงทุนไปในบริษัทเพียงไม่กี่บริษัทเหล่านั้น จะมีสัดส่วนสูงเมื่อเทียบกับมูลค่าการลงทุนทั้งหมด การลงทุนแบบนี้ จะมีโอกาสได้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงกว่าแบบกระจายความเสี่ยง แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงที่สูงกว่าด้วยเช่นกัน

        การลงทุนแบบโฟกัสที่ว่า จึงเหมาะกับนักลงทุนที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญในด้านการลงทุนเป็นอย่างดี และหนึ่งในนั้นคือนักลงทุนระดับโลกอย่าง “วอร์เรน บัฟเฟตต์” ถ้าเราลองมาดูพอร์ตการลงทุนของบริษัท Berkshire Hathaway บริษัทดำเนินธุรกิจโดยการเข้าไปลงทุนด้วยการถือหุ้นในบริษัทอื่น ที่มี CEO คือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ปัจจุบัน สัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทต่างๆ ของ Berkshire Hathaway ใน 5 อันดับแรกคือ

        1. Apple บริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลก สัดส่วนต่อพอร์ตการลงทุน 44%
        2. Bank of America 1 ใน 4 ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา สัดส่วนต่อพอร์ตการลงทุน 11%
        3. Coca-Cola ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำอัดลมที่ใหญ่ที่สุดในโลก สัดส่วนต่อพอร์ตการลงทุน 9%
        4. American Express ผู้ให้บริการบัตรเครดิตรายใหญ่ของโลก สัดส่วนต่อพอร์ตการลงทุน 7%
        5. Kraft Heinz ผู้ผลิตอาหารแบรนด์ดัง และซอสมะเขือเทศแบรนด์ Heinz สัดส่วนต่อพอร์ตการลงทุน 5%

        จะเห็นว่า มูลค่าเงินลงทุนของ Berkshire Hathaway กว่า 76% ที่มีมูลค่ากว่า 6.3 ล้านล้านบาท ถูกโฟกัสไปที่บริษัทเพียงแค่ 5 บริษัท เท่านั้น และที่น่าสนใจก็คือ การลงทุนในหุ้นเพียงไม่กี่ตัวแบบนี้ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นสิ่งที่เขาทำมาแล้วอย่างยาวนาน ตั้งแต่สมัยที่ตัวเขายังไม่มีชื่อเสียงด้วยซ้ำ รู้ไหมว่า นับตั้งแต่ปี 1965-2019 หุ้น Berkshire Hathaway ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยมากถึงปีละประมาณ 20.3% ซึ่งมากกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีในช่วงเดียวกันของดัชนี S&P 500 ถึงเท่าตัว

ถึงตรงนี้ ถ้าถามว่า การลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง กับ แบบโฟกัส แบบไหนดีกว่ากัน และเราควรเลือกลงทุนแบบไหน?

        ประเด็นหลักของเรื่องนี้อยู่ที่ว่า แต่ละบุคคลมีความรู้ความเข้าใจในการลงทุน และความสามารถในการรับความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหนถ้าเรามีความรู้และความสามารถในการลงทุนยังไม่มากนัก การลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง ก็อาจเป็นแนวทางที่น่าสนใจเพื่อป้องกันไม่ให้เงินลงทุนของเราได้รับความเสียหายหนัก

        แต่สำหรับนักลงทุนมืออาชีพ อย่างเช่น วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่มีความรู้ ความเข้าใจ ประสบการณ์ในด้านการลงทุน และสามารถยอมรับและจัดการความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้ ก็อาจเลือกใช้การลงทุนอีกแบบ ที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า นั่นก็คือ การลงทุนแบบโฟกัส นั่นเอง..

ที่มา : Link
รวมบทความบัญชีมากถึง 1,000 : https://www.myaccount-cloud.com/Article/List/1612
 823
ผู้เข้าชม
สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์