เศรษฐกิจของเมืองแห่งนี้ ถูกคาดว่าจะเติบโตถึงปีละ 8% อย่างต่อเนื่องในอีก 5 ปีข้างหน้า
ซึ่งถือว่าเติบโตเป็นอันดับ 2 ของทวีปเอเชียที่นครโฮจิมินห์มีอะไร ถึงได้เป็นขุมพลังที่สำคัญของเวียดนาม?
แต่โฮจิมินห์ ซิตี เป็นชื่อใหม่ที่เพิ่งถูกเปลี่ยนในปี ค.ศ. 1976เพราะชื่อเดิมของเมืองแห่งนี้ก็คือ “ไซ่ง่อน” ไซ่ง่อนเคยเป็นเมืองหลวงของอาณานิคมโคชินไชน่าของฝรั่งเศส และมีอาคารบ้านเรือนสถาปัตยกรรมแบบยุโรปที่สวยงาม จนได้รับฉายาว่า “ปารีสแห่งตะวันออก”
แต่เมื่อได้รับเอกราชจากฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1954 หลังสงครามอินโดจีนเวียดนามเกิดความขัดแย้งจนแบ่งออกเป็น 2 ประเทศ คือ เวียดนามเหนือ ซึ่งเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ และเวียดนามใต้ ซึ่งเป็นประเทศทุนนิยมเสรี ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาซึ่งไซ่ง่อนก็ได้รับเลือกให้เป็นเมืองหลวงของเวียดนามใต้ด้วยความช่วยเหลือทางการเงินของสหรัฐอเมริกา รวมไปถึงผู้คนที่อพยพมาจากเวียดนามเหนือทำให้เศรษฐกิจของ
ไซ่ง่อนเจริญเติบโตอย่างมากในช่วงทศวรรษ 1960s แต่ความขัดแย้งที่ลุกลามจนกลายเป็นสงครามเวียดนามก็สร้างบาดแผลให้ไซ่ง่อน จนในที่สุดสงครามก็จบลงในปี ค.ศ. 1975 พร้อมกับความพ่ายแพ้ของเวียดนามใต้
หลังจากนั้น เวียดนามเหนือและใต้ ก็รวมกันเป็นประเทศเวียดนามและปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ และกรุงฮานอยถูกเลือกให้เป็นเมืองหลวง ไซ่ง่อนจึงถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “โฮจิมินห์ ซิตี” เพื่อเป็นเกียรติแด่ โฮจิมินห์ ประธานาธิบดีของเวียดนามเหนือ ซึ่งเป็นผู้นำการปฏิวัติพรรคคอมมิวนิสต์นั่นเอง
ในช่วงแรกของการรวมประเทศ ชาวเมืองโฮจิมินห์ โดยเฉพาะเหล่าคนมีฐานะจำนวนมากต่างพากันอพยพออกนอกประเทศ โดยหนึ่งในจุดหมายปลายทางสำคัญ ก็คือ สหรัฐอเมริกา ส่งผลให้เศรษฐกิจของเมืองเริ่มถดถอย
และถูกซ้ำเติมด้วยการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลกลาง ด้วยการวางแผนจากส่วนกลางที่กรุงฮานอย แทนการใช้ระบบตลาดเสรี
แต่หลังจากเวียดนามเปลี่ยนมาใช้นโยบาย โด่ย เหมย (Doi Moi) ในปี ค.ศ. 1986 ที่เปลี่ยนระบบเศรษฐกิจมาใช้ระบบตลาดเสรี ด้วยความที่โฮจิมินห์ เป็นเมืองที่คุ้นเคยกับระบบตลาดเสรีมาก่อน
เศรษฐกิจของเมืองจึงค่อยๆ กลับมาเติบโตอีกครั้งและด้วยจำนวนประชากรที่มาก บวกกับ ค่าแรงที่ยังถูก จึงดึงดูดให้มีการตั้งนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่ง จนกลายเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของประเทศ
เมื่อรวมกับความช่วยเหลือจากชาวเวียดนามโพ้นทะเล ทำให้เศรษฐกิจยิ่งเติบโต จนนครโฮจิมินห์กลายเป็นศูนย์กลางการค้าและการเงินของเวียดนาม และเป็นที่ตั้งของตลาดหลักทรัพย์แห่งเดียวของประเทศ
คือ Ho Chi Minh City Stock Exchange ซึ่งถูกจัดตั้งในปี ค.ศ. 2000
ในปี 2019 นครโฮจิมินห์ มีขนาด GDP 2.3 ล้านล้านบาทคิดเป็น 1 ใน 4 ของ GDP ประเทศเวียดนามเมืองนี้มีสนามบินที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม คือ สนามบิน Tan Son Nhat ซึ่งเป็นสนามบินระดับนานาชาติ
ที่รองรับผู้โดยสารกว่า 40 ล้านคนและยังเป็นที่ตั้งท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ คือ ท่าเรือไซ่ง่อน ไม่ใช่เพียงแค่อดีต และปัจจุบันเท่านั้น นครโฮจิมินห์ยังเป็นขุมพลังแห่งอนาคตของเวียดนาม
ด้วยแผนการผลักดันเมืองให้เป็นศูนย์กลางของธุรกิจเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทั้งธุรกิจสตาร์ตอัป, E-Commerce และ Fintech อย่างเช่น การพัฒนาระบบการให้บริการของภาครัฐผ่านระบบ Cloud
โดยพัฒนาแอปพลิเคชัน iSCT ที่ถูกออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งานบริการของรัฐ โดยเฉพาะนโยบายการค้า และผู้ใช้สามารถแสดงความคิดเห็นเพื่อปรับปรุงบริการของรัฐได้ตลอดเวลา
นอกจากพัฒนาการให้บริการแล้ว ทางเมืองยังได้ต่อยอดความท้าทาย ด้วยการพัฒนาเขตเมืองใหม่ที่เรียกว่า “Thu Duc City”
ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของเขตเมือง เพื่อปั้นให้เป็นศูนย์กลางนวัตกรรมของภูมิภาค โดยสร้างระบบขนส่งมวลชน และถนนหนทาง เชื่อมเขตเมืองเก่าเข้ากับโครงการต่างๆ มากมายในเขตเมืองใหม่
อีกทั้งยังมีโครงการ Thu Thiem ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนเกาหลีใต้เป็นมูลค่ากว่า 60,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT การเงิน การดูแลสุขภาพ และความบันเทิงโดยหวังจะให้เป็นศูนย์กลางด้านการเงินและอุตสาหกรรมใหม่ของประเทศและโครงการ Saigon Hi-tech Park หรือ SHTP ที่ครอบคลุมพื้นที่กว่า 9.13 ตารางกิโลเมตร โดยมุ่งหวังให้เป็นศูนย์กลางของภาคอุตสาหกรรม IT
และเทคโนโลยี ปัจจุบันมีมูลค่าการลงทุนมากกว่า 200,000 ล้านบาท โดยในปี 2019 เขต SHTP มีมูลค่าการส่งออก 420,000 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของนครโฮจิมินห์ และขณะนี้ ก็กำลังมีการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงอีกหนึ่งแห่ง ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ราว 2 กิโลเมตร และอยู่ไม่ไกลจาก SHTP เขตเมืองใหม่ Thu Duc City ยังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยแห่งชาติเวียดนาม โฮจิมินห์ ซิตี (VNUHCM) ที่มีนักศึกษาเกือบ 100,000 คน ซึ่งนับเป็นสถาบันการศึกษาที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ที่จะคอยผลิตบุคลากรป้อนเข้าสู่ภาคการผลิตและบริการในเขตเมืองใหม่ ซึ่งคาดว่าจะรองรับแรงงานทักษะใหม่ได้ถึง 1 ล้านคน
โดยความหวังสูงสุดของเขตเมืองใหม่แห่งนี้ คือ การเป็นเสมือน “Silicon Valley”เป็นศูนย์กลางเทคโนโลยี ศูนย์กลางการเงินระดับประเทศ และเชื่อมต่อกับเขตเมืองเก่าเพื่อให้นครโฮจิมินห์ก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในระดับภูมิภาค
ถึงแม้ในปี 2020 จะเป็นปีที่เลวร้ายของเมืองหลายแห่งทั่วโลกแต่สำหรับนครโฮจิมินห์แล้ว กลับมีโครงการลงทุนใหม่มากกว่า 598 โครงการ และยังมีการขยายตัวของเขตนิคมอุตสาหกรรมซึ่งได้รับประโยชน์จากการย้ายถิ่นฐานออกจากประเทศจีนท่ามกลางความขัดแย้งของสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา ก็เป็นที่น่าติดตามว่า ด้วยแผนการพัฒนาครั้งใหญ่ นครโฮจิมินห์ จะเติบโตได้มากอีกแค่ไหนในอนาคต
แต่หากจะกล่าวถึงเมืองสักแห่งที่เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งปี 2020“โฮจิมินห์ ซิตี” จะเป็นหนึ่งในนั้น และเมืองนี้จะเป็นขุมพลังที่สำคัญของประเทศเวียดนาม..