เปิดรายชื่อ 4 บริษัท ขอขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิดในประเทศไทยแล้ว
วันที่ 10 มีนาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงาน เพจเฟซบุ๊กศูนย์ข้อมูลโควิด โดยอ้างอิงข้อมูลจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ระบุว่า ขณะนี้ มีบริษัทผลิตวัคซีนโควิด-19 ขอขึ้นทะเบียนในประเทศไทยแล้ว 4 ราย ดังนี้
ขึ้นทะเบียนกรณีฉุกเฉิน 2 ราย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2564 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เปิดเผยถึงการนำเข้าวัคซีนของภาคเอกชน ระบุว่า ต้องมายื่นเป็นผู้รับอนุญาตนำหรือสั่งยาเข้ามาในราชอาณาจักรก่อน และยื่นขอขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด 19 จากนั้น อย.จะพิจารณาจากเอกสาร ด้านคุณภาพ ความปลอดภัย และประสิทธิผล เพื่อให้สามารถอนุมัติทะเบียนโดยเร็วที่สุด
ส่วนกรณีผู้ได้รับอนุญาตนำเข้ายาอยู่แล้ว เช่น โรงพยาบาลเอกชน หากประสงค์จะนำเข้าวัคซีนโควิด 19 ก็ต้องมาขอขึ้นทะเบียนวัคซีนอีกครั้ง ซึ่งเป็นไปตามหลักปฏิบัติสากล
ขั้นตอนการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์วัคซีนโควิด-19 ในสถานการณ์ฉุกเฉิน กรณีนำเข้า ดำเนินการดังนี้
1.ให้ยื่นคำขอใบอนุญาตสถานประกอบการด้านยา โดยต้องมีสำนักงาน มีสถานที่เก็บยา มีเภสัชกรประจำ
2.ยื่นคำขอหนังสือรับรองมาตรฐานสถานที่ผลิตยา ซึ่งจะต้องผ่านการตรวจสอบความครบถ้วนของเอกสารคำขอขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด-19 ผ่านการประเมินวิชาการ ด้านคุณภาพ ความปลอดภัย ประสิทธิผล และแผนการจัดการความเสี่ยงของวัคซีน ผ่านที่ประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด-19 ทั้งนี้ ขั้นตอนตั้งแต่การประเมินวิชาการถึงการอนุมัติจะใช้เวลาประมาณ 30 วัน
เพิ่มวัคซีนอีก 15-20 ล้านโดส
นอกจากการอนุญาตให้นำเข้าวัคซีนโควิด-19 ได้ ที่ผ่านมา สธ.ได้เร่งดำเนินการในการจะจัดหาวัคซีนเพิ่มมาเป็นระยะ ๆ โดยเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นพ.โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข และประธานคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ระบุว่า ประเทศไทยต้องมีการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมจากที่มีอยู่แล้ว 63 ล้านโดส โดยมีการคำนวณจากประชากรไทยกว่า 65 ล้านคน หักกลุ่มวัยรุ่นออก จะเหลือประชาชนที่เข้าข่ายได้รับวัคซีนประมาณ 50 ล้านคน บวกคนต่างด้าวอีกประมาณ 5 ล้าน จากนั้นคิดที่ 80% ของจำนวนคน 55 ล้านคน
จึงประมาณการว่ามีคนควรได้รับวัคซีนประมาณ 40 ล้าน คนละ 2 โดส จึงต้องใช้วัคซีน 80 ล้านโดส ดังนั้น เท่ากับว่าเราควรหาวัคซีนเพิ่มอีกประมาณ 15-20 ล้านโดส ซึ่งได้เสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติพิจารณาแล้ว