อัตราเงินเฟ้อ เป็นหนึ่งในข้อมูลสำคัญทางเศรษฐกิจที่นักลงทุนหลายคนจับตาเพราะการเปลี่ยนแปลงของเงินเฟ้อนั้นมีผลกระทบโดยตรงต่อการลงทุน
คำถามที่หลายคนสงสัยคือ ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ช่วงภาวะเงินเฟ้อและตามมาด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้นสินทรัพย์หลัก ๆ อย่างตราสารหนี้
ทองคำ และหุ้น จะได้รับผลกระทบอย่างไร ?
เป็นที่รู้ ๆ กันอยู่แล้วว่า ในภาพรวม เงินเฟ้อไม่ใช่เรื่องไม่ดีเสมอไปเพราะถ้าหากว่าเป็นเงินเฟ้อในระดับที่เหมาะสมก็จะเป็นตัวแปรสำคัญ ให้เศรษฐกิจเจริญเติบโต
ได้ดีแต่ในเชิงทฤษฎีการเงินและการลงทุนนั้นเงินเฟ้อจะทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนนั้นลดลงที่เป็นแบบนี้เพราะ ผลตอบแทน “ที่แท้จริง” จากการลงทุน จะเกิด
จาก อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน หักด้วย อัตราเงินเฟ้อยกตัวอย่างให้เข้าใจง่าย ๆ เช่น ถ้าเราฝากเงินกับธนาคารแล้วได้อัตราดอกเบี้ย 2% ต่อปี และอัตราเงินเฟ้อ
ในปีนั้นเท่ากับ 1% หมายความว่า ผลตอบแทนที่แท้จริงจากการลงทุนในปีนั้น จะเท่ากับ 1% นอกจากนั้น ถ้าอัตราเงินเฟ้อยิ่งปรับตัวมากขึ้น จนมากกว่าอัตราผลตอบแทน
จากการลงทุนในสินทรัพย์นั้นก็จะทำให้ผลตอบแทนที่แท้จริงจากการลงทุนของนักลงทุน “ติดลบ”ถ้าสถานการณ์นี้ดำเนินไปต่อเนื่องยาวนาน ก็อาจทำให้คนนำเงินไป
เก็งกำไรในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เพื่อหวังได้ผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อ ซึ่งอาจนำไปสู่ วิกฤติฟองสบู่สินทรัพย์ต่าง ๆ ได้เช่นกันขณะที่การเร่งตัวของอัตราเงินเฟ้อ มักตาม
มาด้วยการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยที่เป็นแบบนี้ ก็เนื่องจากเมื่อเงินเฟ้อ ราคาสินค้าและบริการปรับสูงขึ้นธนาคารกลางก็จำเป็นต้องหาวิธีชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจ
เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาใหญ่ ๆ ตามมา เช่น Hyperinflation หรือเงินเฟ้อขั้นรุนแรง
ซึ่งวิธีที่ธนาคารกลางนิยมเอามาใช้ ก็คือการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อ “เพิ่มต้นทุนการกู้ยืม” ในภาพรวม
ลดการกู้ยืมไปบริโภค ไปขยายธุรกิจ รวมถึงไปเก็งกำไรซึ่งจะส่งผลให้ เศรษฐกิจภาพรวม ชะลอความร้อนแรงของการเติบโตลงได้
ประเด็นต่อมาก็คือ แล้วตราสารหนี้ ทองคำ และหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ที่เป็นสินทรัพย์หลัก ๆ ที่นักลงทุนคุ้นเคย จะมีแนวโน้มเป็นอย่างไร ?
แหล่งที่มา : Link