ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่ทุกคนควรรู้...

ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่ทุกคนควรรู้...


ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งเป็นข้อกำหนดตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562
ถือเป็นเครื่องมือเชิงนโยบายที่มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการจัดสรรทรัพยากรที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้เกิดประโยชน์สูงสุดในเชิงเศรษฐกิจและสังคม
กฎหมายนี้มีเป้าหมายในการส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการถือครองทรัพย์สินในลักษณะที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ และสร้างรายได้ให้กับหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับพื้นที่
ประเภทของภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
    การจำแนกประเภทของภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับลักษณะการใช้ประโยชน์ของทรัพย์สินนั้นๆ ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ดังนี้

          1. ทรัพย์สินเพื่อที่อยู่อาศัย
 หมวดหมู่นี้ครอบคลุมที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้สำหรับเป็นที่อยู่อาศัย เช่น บ้านพัก อาคารชุด หรือสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ที่มีวัตถุประสงค์หลักในการให้เป็นที่พักอาศัย อัตราภาษีในกลุ่มนี้มักมีการจัดเก็บในระดับที่เหมาะสมเพื่อไม่เป็นภาระมากเกินไปต่อประชาชนทั่วไป สำหรับที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย จะต้องเสียภาษีในอัตราตั้งแต่ 0.02-0.1% โดยแบ่งตามประเภทของเจ้าของที่ดิน ดังนี้

  • บุคคลธรรมดาผู้เป็นเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างหลังเดียว จะต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามอัตรา ดังนี้
 ○ ที่ดินมูลค่า 0-50 ล้านบาท: ได้รับการยกเว้นภาษี
 ○ ที่ดินมูลค่า 50-75 ล้านบาท: อัตราภาษี 03% = ล้านละ300 บาท
 ○ ที่ดินมูลค่า 75-100 ล้านบาท: อัตราภาษี 05% = ล้านละ 500 บาท
 ○ ที่ดินมูลค่า 100 ล้านบาทขึ้นไป: อัตราภาษี 1% = ล้านละ 1,000 บาท
 • บุคคลธรรมดาผู้เป็นเจ้าของเฉพาะสิ่งปลูกสร้างหลังเดียว จะต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามอัตรา ดังนี้
 ○ ที่ดินมูลค่า 0-10 ล้านบาท: ได้รับการยกเว้นภาษี
 ○ ที่ดินมูลค่า 10-50 ล้านบาท: อัตราภาษี 02% = ล้านละ 200 บาท
 ○ ที่ดินมูลค่า 50-75 ล้านบาท: อัตราภาษี 03% = ล้านละ 300 บาท
 ○ ที่ดินมูลค่า 75-100 ล้านบาท: อัตราภาษี 05% = ล้านละ 500 บาท
 ○ ที่ดินมูลค่า 100 ล้านบาทขึ้นไป: อัตราภาษี 1% = ล้านละ 1,000 บาท
• บุคคลธรรมดาผู้เป็นเจ้าของที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง 2 หลังขึ้นไป จะต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามอัตรา ดังนี้
○ ที่ดินมูลค่า 0-50 ล้านบาท: อัตราภาษี 02% = ล้านละ 200 บาท
○ ที่ดินมูลค่า 50-75 ล้านบาท: อัตราภาษี 03% = ล้านละ 300 บาท
○ ที่ดินมูลค่า 75-100 ล้านบาท: อัตราภาษี 05% = ล้านละ 500 บาท
○ ที่ดินมูลค่า 100 ล้านบาทขึ้นไป: อัตราภาษี 1% = ล้านละ 1,000 บาท
 2. ทรัพย์สินเพื่อการเกษตรกรรม
 ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในหมวดหมู่นี้หมายถึงพื้นที่ที่ใช้สำหรับการผลิตสินค้าเกษตร เช่น พื้นที่ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ หรือกิจกรรมอื่นๆ

ที่เกี่ยวข้อง รัฐบาลมักกำหนดอัตราภาษีต่ำหรือมีการยกเว้นในบางกรณี เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเกษตรกรรมและลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในภาคชนบท
สำหรับที่ดินที่มีการนำมาใช้ประโยชน์ทางด้านเกษตรกรรม จะต้องเสียภาษีในอัตรา 0.01-0.1% ซึ่งแบบได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
 • บุคคลธรรมดา จะต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามอัตรา ดังนี้
○ ที่ดินมูลค่า 0-50 ล้านบาท: ได้รับการยกเว้นภาษี
○ ที่ดินมูลค่า 50-125 ล้านบาท: อัตราภาษี 01% = ล้านละ 100 บาท
○ ที่ดินมูลค่า 125-150 ล้านบาท: อัตราภาษี 03% = ล้านละ 300 บาท
○ ที่ดินมูลค่า 150-550 ล้านบาท: อัตราภาษี 05% = ล้านละ 500 บาท
○ ที่ดินมูลค่า 550-1,050 ล้านบาท: อัตราภาษี 07% = ล้านละ 700 บาท
○ ที่ดินมูลค่า 1,050 ล้านบาทขึ้นไป: อัตราภาษี 1% = ล้านละ 1,000 บาท
• นิติบุคคล จะต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามอัตรา ดังนี้
○ ที่ดินมูลค่า 0-75 ล้านบาท: อัตราภาษี 01% = ล้านละ 100 บาท
○ ที่ดินมูลค่า 75-100 ล้านบาท: อัตราภาษี 03% = ล้านละ 300 บาท
○ ที่ดินมูลค่า 100-500 ล้านบาท: อัตราภาษี 05% = ล้านละ 500 บาท
○ ที่ดินมูลค่า 500-1,000 ล้านบาท: อัตราภาษี 07% = ล้านละ 700 บาท
○ ที่ดินมูลค่า 1,000 ล้านบาทขึ้นไป: อัตราภาษี 1% = ล้านละ 1,000 บาท
 3. ทรัพย์สินเพื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม
  หมวดหมู่นี้รวมถึงที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ในเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม เช่น ศูนย์การค้า โรงงาน

หรือสำนักงานธุรกิจ อัตราภาษีในกลุ่มนี้มักจะสูงกว่าประเภทอื่น เนื่องจากการใช้ทรัพยากรในลักษณะนี้มักสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่สูงกว่า
โดยอัตราภาษีตั้งแต่ 0.3-0.7% ดังนี้
○ ที่ดินมูลค่า 0-50 ล้านบาท: อัตราภาษี 3% = ล้านละ 3,000 บาท
○ ที่ดินมูลค่า 50-200 ล้านบาท: อัตราภาษี 4% = ล้านละ 4,000 บาท
○ ที่ดินมูลค่า 200-1,000 ล้านบาท: อัตราภาษี 5% = ล้านละ 5,000 บาท
○ ที่ดินมูลค่า 1,000-5,000 ล้านบาท: อัตราภาษี 6% = ล้านละ 6,000 บาท
○ ที่ดินมูลค่า 5,000 ล้านบาทขึ้นไป: อัตราภาษี 7% = ล้านละ 7,000 บาท
4. ที่ดินรกร้างว่างเปล่าหรือไม่ได้ใช้ประโยชน์
ทรัพย์สินที่จัดอยู่ในประเภทนี้หมายถึงที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ไม่ได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม รัฐบาลกำหนดอัตราภาษีในกลุ่มนี้สูงขึ้นเรื่อยๆ

เพื่อจูงใจให้เจ้าของทรัพย์สินพัฒนาที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม จะต้องเสียภาษีที่ดินว่างเปล่าตั้งแต่ 0.3-0.7% เช่นกัน โดยคำนวณได้ ดังนี้
○ ที่ดินมูลค่า 0-50 ล้านบาท: อัตราภาษี 3% = ล้านละ 3,000 บาท
○ ที่ดินมูลค่า 50-200 ล้านบาท: อัตราภาษี 4% = ล้านละ 4,000 บาท
○ ที่ดินมูลค่า 200-1,000 ล้านบาท: อัตราภาษี 5% = ล้านละ 5,000 บาท
○ ที่ดินมูลค่า 1,000-5,000 ล้านบาท: อัตราภาษี 6% = ล้านละ 6,000 บาท
○ ที่ดินมูลค่า 5,000 ล้านบาทขึ้นไป: อัตราภาษี 7% = ล้านละ 7,000 บาท
ผู้ที่ต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
ผู้ที่ต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง คือบุคคลหรือนิติบุคคลที่ถือครองหรือมีสิทธิในการครอบครองทรัพย์สิน

ประเภทที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มต่างๆ ดังนี้
1. เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง
เจ้าของทรัพย์สินที่มีกรรมสิทธิ์โดยสมบูรณ์ในที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง เช่น เจ้าของบ้านหรือเจ้าของที่ดินว่างเปล่า

2. ผู้ครอบครองหรือผู้เช่าทรัพย์สินในระยะยาว
บุคคลที่มีสิทธิครอบครองหรือเช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในระยะยาว เช่น การเช่าที่ดินราชพัสดุ หรือการใช้สิทธิครอบครองที่ดินของรัฐ

3. ผู้ใช้ประโยชน์ในที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง
บุคคลหรือองค์กรที่ใช้ประโยชน์จากที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง โดยไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ เช่น การเช่าพื้นที่เพื่อประกอบกิจการพาณิชย์

กระบวนการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดำเนินการผ่านกระบวนการที่โปร่งใสและมีกลไกการประเมินผลที่ชัดเจน โดยแบ่งออกเป็นขั้นตอน ดังนี้

1. การประเมินมูลค่าทรัพย์สิน
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการประเมินมูลค่าทรัพย์สิน โดยพิจารณาจากราคาตลาดหรือราคาประเมินของทางราชการ

การประเมินนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการกำหนดฐานภาษีและอัตราการจัดเก็บที่เป็นธรรม
2. การกำหนดอัตราภาษี
อัตราภาษีถูกกำหนดตามลักษณะการใช้งานของทรัพย์สิน โดยอิงตามหลักการพิจารณาความเหมาะสมและความเป็นธรรม

ตัวอย่างเช่น ที่ดินเพื่อการเกษตรมักมีอัตราภาษีที่ต่ำกว่าที่ดินเชิงพาณิชย์
3. การแจ้งยอดภาษีและการชำระภาษี
ผู้ถือครองทรัพย์สินจะได้รับหนังสือแจ้งยอดภาษี พร้อมรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการชำระและกำหนดเวลา การไม่ปฏิบัติตามอาจนำมาซึ่งบทลงโทษทางกฎหมาย

4. สิทธิประโยชน์ทางภาษี
ในบางกรณี รัฐบาลอาจกำหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น การลดหย่อนสำหรับบ้านหลังแรกหรือการยกเว้นสำหรับที่ดินที่ใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะ ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมความเป็นธรรมและลดภาระของผู้เสียภาษีในกลุ่มเปราะบาง

เลี่ยงการจ่ายภาษีที่ดิน
สำหรับผู้ที่เลี่ยงการเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง หรือเพิกเฉยไม่สนใจที่จะชำระภาษีถือว่าเป็นผู้ที่มีความผิด และจำเป็นต้องได้รับโทษทางกฎหมาย โดยแบ่งออกได้ 3 ระดับ ดังนี้

• โทษปรับ เป็นบทลงโทษในระดับเบื้องต้น สำหรับผู้ที่เสียภาษีที่ดินไม่ครบตามจำนวนภายในเวลาที่กำหนด จะต้องถูกปรับตามเกณฑ์ที่ระบุเอาไว้
○ เสียเบี้ยปรับ 10% ของภาษีที่ค้างชำระ ในกรณีที่ล่าช้า แต่ชำระก่อนได้รับหนังสือแจ้งเตือน
○ เสียเบี้ยปรับ 20% ของภาษีที่ค้างชำระ ในกรณีที่ล่าช้า แต่ชำระในระยะที่หนังสือแจ้งเตือนระบุเอาไว้
○ เสียเบี้ยปรับ 40% ของภาษีที่ค้างชำระ ในกรณีที่ล่าช้าเกินระยะที่หนังสือแจ้งเตือนระบุเอาไว้
○ ดอกเบี้ยเงินเพิ่ม เป็นบทลงโทษเพิ่มเติมในกรณีชำระภาษีล่าช้า โดยนับตั้งแต่วันที่การชำระภาษีเลยเวลา ด้วยการคิดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 1% ต่อเดือนของเงินที่ค้างชำระ
• โทษทางอาญา โดยมีการกำหนดโทษจำคุกสูงสุด 2 ปี และปรับสูงสุดไมเกิน 40,000 บาท
บทสรุป
 การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมีบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ในฐานะเครื่องมือทางเศรษฐกิจและสังคมที่ส่งเสริมการจัดการทรัพยากรให้เกิดความยั่งยืน มาตรการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยกระตุ้นให้ทรัพยากรที่ดินและสิ่งปลูกสร้างถูกใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า แต่ยังสร้างรายได้แก่ท้องถิ่นและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของการจัดเก็บภาษีนี้ขึ้นอยู่กับความโปร่งใส ความเป็นธรรม และการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพระหว่างภาครัฐและประชาชน

 63
ผู้เข้าชม
สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์