โดยปกติแล้วกิจการที่เป็นอุตสาหกรรมการผลิตสินค้านั้น จะมีลักษณะเป็นการผลิตแบบดั้งเดิม (Traditional Production) คือ การผลิตสินค้าหรือบริการที่ใช้วิธีและเทคโนโลยีที่เป็นที่รู้จักและใช้กันมาเป็นเวลานาน โดยมักจะใช้แรงงานมนุษย์และเครื่องจักรที่ไม่ได้ถูกอัพเกรดหรือปรับปรุงเทคโนโลยีใหม่ๆจะทำให้มีต้นทุนการผลิตที่สูง เมื่อเปรียบเทียบกับระบบการผลิตแบบใหม่ คือ การผลิตแบบทันเวลาพอดี (JUST-IN-TIME) หรือที่เราเรียกว่า “การผลิตแบบ JIT” ซึ่งการผลิตแบบนี้ เป็นวิธีการจัดการกระบวนการผลิตที่เน้นการลดการสะสมของวัสดุและสินค้าในกระบวนการผลิต โดยการผลิตเพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า โดยไม่มีการสร้างคลังสินค้าในปริมาณมาก หรือการพักสินค้าอยู่ในกระบวนการผลิตเป็นเวลานาน หลักการของ Just-In-Time คือการนำเสนอวัสดุและสินค้าให้มาถึงจุดต่าง ๆ ในกระบวนการผลิต ตรงตามความต้องการของกระบวนการนั้น ๆ โดยมีเวลาในการส่งมอบที่เป็นไปตามเวลาที่ต้องการจริง ๆ ซึ่งส่งผลให้มีการลดการเสียหายในการผลิต ลดการที่เกิดสินค้าเสีย และลดค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาสินค้า
ด้วยเหตุนี้เมื่อเราจะเปรียบเทียบลักษณะการผลิตแบบ JIT กับการผลิตแบบดั้งเดิม โดยทั่วไปแล้วจะเห็นว่าลักษณะการผลิตแบบดั้งเดิม จะเน้นให้มีการผลิตครั้งละมากๆ (Mass Production) เพราะถือว่าการผลิตยิ่งมากจะทำให้เกิดการประหยัดมากที่สุด ในขณะที่การผลิตแบบ JIT จะผลิตเมื่อสินค้านั้นถูกต้องการเท่านั้น
ข้อแตกต่างระหว่างการผลิตแบบเดิมกับเทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่ การผลิตแบบเดิมและเทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ดังนี้
กระบวนการผลิต
- การผลิตแบบเดิม : มักใช้กระบวนการผลิตแบบลำเลียง (sequential) โดยที่การผลิตมีการแบ่งขั้นตอนและผลิตภัณฑ์จะถูกผลิตในลำดับขั้นตอนนั้น ๆ ตามลำดับ โดยมีการใช้แรงงานมนุษย์มาก
- เทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่ : มักใช้กระบวนการผลิตแบบแบ่งเบาะ (modular) หรือแบบยืดหยุ่น (flexible) โดยที่การผลิตสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ และมีการใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติและหุ่นยนต์ในการผลิตมากขึ้นเพื่อลดความขัดแย้งและเพิ่มประสิทธิภาพ
การใช้เทคโนโลยี
- การผลิตแบบเดิม : มักใช้เครื่องจักรและเครื่องมือที่เป็นแบบมือหรือพื้นฐานมากกว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่
- เทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่ : มักใช้เทคโนโลยีที่ใช้การควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์และอัตโนมัติ เช่น หุ่นยนต์ที่ใช้ในกระบวนการผลิตและระบบอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) เพื่อการควบคุมและการติดตามข้อมูลในเวลาจริง
ความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัว
- การผลิตแบบเดิม : มักมีความยืดหยุ่นน้อยและยากที่จะปรับเปลี่ยนการผลิตเมื่อมีความต้องการเปลี่ยนแปลง
- เทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่ : มีความยืดหยุ่นมากขึ้นโดยสามารถปรับปรุงและปรับเปลี่ยนได้ในเวลาสั้น ๆ เมื่อมีความต้องการเปลี่ยนแปลงหรือการปรับปรุง
ความยากในการเรียนรู้และการใช้งาน
- การผลิตแบบเดิม : มักมีการฝึกอบรมและการเรียนรู้ที่ยากและใช้เวลานานกว่า
- เทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่ : มักมีระบบการใช้งานที่เป็นมาตรฐานและเป็นกลไกที่เข้าใจง่ายมากขึ้น ทำให้การฝึกอบรมและการเรียนรู้เป็นไปอย่างรวดเร็ว
ประสิทธิภาพและคุณภาพ
- เทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่มักมีความสามารถในการผลิตประสิทธิภาพสูงและมีคุณภาพสูงกว่าการผลิตแบบเดิม เนื่องจากมีการควบคุมกระบวนการและการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้น
ข้อได้เปรียบของการใช้ระบบการผลิตแบบ JIT
1. ลดค่าใช้จ่ายในการเก็บสินค้า: ระบบ JIT ช่วยลดการเก็บสินค้าในคลังสินค้าในระดับต่ำ โดยการสั่งซื้อสินค้าเมื่อมีความจำเป็นจริงๆ จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเก็บสินค้าและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องเช่นค่าพื้นที่และค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บสินค้า
2. ลดการสะสมของสินค้าไม่จำเป็น: ด้วยการผลิตสินค้าเพียงพอต่อความต้องการ ระบบ JIT ช่วยลดการสะสมของสินค้าที่ไม่จำเป็นในกระบวนการผลิต ซึ่งช่วยลดความไม่เป็นประโยชน์และความสูญเสีย
3. เพิ่มความยืดหยุ่นในการผลิต: ระบบ JIT ช่วยให้สามารถปรับการผลิตตามความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว มีสมรรถนะในการเปลี่ยนแปลงการผลิตและการตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้มากขึ้น
4. ลดรอยคอยในกระบวนการผลิต: การนำเข้าสินค้าและวัตถุดิบในเวลาที่ถูกต้องช่วยลดการรอคอยในกระบวนการผลิต ซึ่งส่งผลให้เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าพนักงานและค่าใช้จ่ายในการทำงาน
5. เพิ่มคุณภาพของผลิตภัณฑ์: การลดการสะสมของสินค้าและวัตถุดิบช่วยลดโอกาสในการเกิดสินค้าเสียและเสียหายในกระบวนการผลิต ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ส่งออกได้
ข้อได้เปรียบของการใช้ระบบการผลิตแบบดั้งเดิม (TRADITIONAL PRODUCTION)
ข้อได้เปรียบหรือข้อได้เปรียบของการใช้ระบบการผลิตแบบดั้งเดิม (Traditional Production) อาจมีหลายด้านตามมุมมองและเชื่อมั่นของบุคคลหรือองค์กรต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม นี่คือบางข้อที่อาจจะถือเป็นข้อได้เปรียบของการใช้ระบบการผลิตแบบดั้งเดิม
1. ความมั่นคง : ระบบการผลิตแบบดั้งเดิมมักจะมีความเสถียรและมั่นคงมากกว่าระบบที่มีการนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมันมักจะใช้เทคโนโลยีที่มีความเข้มงวดและได้รับการทดสอบแล้ว
2. ความเข้าใจและปรับตัว : บุคคลที่ทำงานในระบบการผลิตแบบดั้งเดิมมักมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งในกระบวนการและเทคโนโลยีที่ใช้ ซึ่งอาจทำให้เป็นไปได้ที่จะปรับปรุงและปรับปรุงการทำงานได้ง่ายขึ้น
3. ต้นทุน : ในบางกรณีระบบการผลิตแบบดั้งเดิมอาจมีต้นทุนต่ำกว่าระบบที่มีการนวัตกรรม โดยเฉพาะในกรณีที่มีการใช้เทคโนโลยีที่เก่าแก่และระบบที่เป็นระบบควบคุมต่ำ
4. ความเสี่ยงต่ำ : การใช้ระบบการผลิตแบบดั้งเดิมอาจช่วยลดความเสี่ยงในการผลิต เนื่องจากมันมักจะมีการทดสอบและการใช้งานจริงเป็นเวลานาน ทำให้รู้จักและสามารถจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. ความสูญเสีย : ระบบการผลิตแบบดั้งเดิมอาจมีความเสี่ยงในการสูญเสียการผลิตที่ต่ำกว่าระบบที่มีการนวัตกรรม โดยเฉพาะในกรณีที่มีการผลิตสินค้าที่มีความซับซ้อน
6. การรักษา : บางครั้งการรักษาระบบการผลิตแบบดั้งเดิมอาจง่ายกว่าระบบที่มีการนวัตกรรม ซึ่งอาจช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและซ่อมแซมได้
JIT และผลกระทบที่มีต่อการบัญชีต้นทุน
จากการที่ JIT เป็นระบบการผลิตแนวใหม่ที่มุ่งเน้นในการเพิ่มผลผลิต (Output) ให้เพิ่มขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพด้วยเหตุนี้ วิธีการจัดซื้อวัตถุดิบ วิธีการผลิต ตลอดจนวิธีการคิดต้นทุนของสินค้าก็ได้รับผลกระทบให้มีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ทั้งนี้เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการเพิ่มผลผลิตตามปรัชญาของ JIT เป็นการผลิตที่มุ่งลดงานระหว่างผลิต (Work in Process) เป็นส่วนสำคัญอยู่แล้ว ดังนั้นหลักการบัญชีต้นทุนที่ใช้ระบบการผลิตแบบ JIT จึงไม่มีบัญชีระหว่างการผลิต การคิดต้นทุนการผลิตก็จะคิดต้นทุนการผลิตโดยตรงในบัญชีสินค้าสำเร็จรูป(Finished Goods) โดยการคิดต้นทุนจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ คิดจากบัญชีวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต (Materials in Process)และบัญชีต้นทุนแปรสภาพ(Conversion Cost) ซึ่งในจุดนี้พอที่จะอธิบายถึงความแตกต่างได้ว่า
ในการผลิตแบบเดิม วัตถุดิบ (Raw Materials) ที่ซื้อมาจะถูกบันทึกในบัญชีวัตถุดิบคงคลัง และเมื่อมีการเบิกใช้ในการผลิตก็จะโอนเข้าบัญชีวัตถุดิบคงคลัง และเมื่อมีการเบิกใช้ในการผลิตก็จะโอนเข้าบัญชีงานระหว่างผลิต ทั้งนี้ด้วยเหตุผลที่ว่าระบบการผลิตแบบ JIT ซึ่งแตกต่างไปจากการผลิตแบบดั้งเดิมก็คือ การแปรสภาพวัตถุดิบให้เป็นสินค้าสำเร็จรูปจะถูกสะสมต้นทุนในบัญชีต้นทุนแปรสภาพ(Conversion Cost Control) ซึ่งจะประกอบด้วยต้นทุนแรงงานทางตรง (Direct Labor Costs) และค่าใช้จ่ายโรงงาน(Factory Overhead Cost Control)แทนที่จะทำการสะสมต้นทุนแยกคนละบัญชีตามรูปแบบเดิม
ทั้งนี้เพราะแนวคิดในการผลิตแบบ JIT ทำให้ต้นทุนแรงงานทางตรงและค่าใช้จ่ายโรงงานสามารถที่จะถูกจำแนกเป็นต้นทุนตร ง(Direct Cost) ของแผนกหรือผลิตภัณฑ์ได้อย่างชัดเจน การสะสมต้นทุนแปรสภาพ ในขณะที่การโอนต้นทุนแปรสภาพสภาพไปเป็นต้นทุนการผลิตของสินค้าสำเร็จรูป ก็จะทำการโอนโดยเครดิต(Credit) จากบัญชีต้นทุนแปรสภาพจัดสรร(Applied Conversion Cost) เพื่อสามารถทำการคำนวณต้นทุนสินค้าที่ผลิตเสร็จได้ทันที อย่างไรก็ตามเมื่อถึงวันสิ้นงวดกิจการก็สามารถที่จะคำนวณหาผลต่างของต้นทุนแปรสภาพจัดสรรว่ามีจำนวนสูงหรือต่ำกว่าที่เกิดขึ้นจริง (Over or Under applied Conversion Cost) เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนและควบคุมต้นทุนตลอดจนการปรับปรุงงบการเงินต่อไป