เสริมกลยุทธ์ธุรกิจ SMEs ด้วยบัญชี

เสริมกลยุทธ์ธุรกิจ SMEs ด้วยบัญชี

บ่อยครั้งที่ผู้ประกอบธุรกิจ SMEs ผิดหวังกับ “บัญชี”  เพราะตัวเลขจากงบการเงิน ที่ได้มาตลอดปีแสดงผลงานที่ดี มีกำไร แต่พอผู้สอบบัญชีตรวจสอบประจำปีกลับต้องผิดหวัง เพราะตัวเลขในงบการเงินต้องปรับปรุงแก้ไขใหม่เนื่องจากไม่เป็นไปตาม มาตรฐานการบัญชี ที่ถูกต้อง ผลการดำเนินงานพลิกกลับจากกำไรเป็นขาดทุน ซึ่งอาจเกิดจากเหตุผลหลายประการ เช่น นักบัญชีของกิจการไม่รู้หรือไม่เข้าใจ

 

ในมาตรฐานการบัญชีหรือเปล่า  ถ้าใช่ก็คงต้องแก้ไขที่ตัวนักบัญชีเพราะเป็นอาชีพและความรับผิดชอบเบื้องต้นที่ต้องทำบัญชีให้ถูกต้อง ไม่ควรใช้มาตรฐานการบัญชีผิดทำให้ผู้บริหารเข้าใจสถานการณ์ผิดคลาดเคลื่อนไปก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมาก  แต่ถ้าไม่ใช่ความผิดของนักบัญชี หากเป็นเพราะผู้บริหารไม่ยอมปฏิบัติตามเนื่องจากไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องที่คุยกับผู้สอบบัญชีไม่ได้หรือผู้บริหารไม่ยอมรับในมาตรฐานการบัญชี  ก็จำเป็นต้องปรับความเข้าใจกับผู้บริหารใหม่ให้ทราบถึงข้อกำหนดของกฎหมายเกี่ยวกับการจัดทำบัญชี  มาตรฐานการบัญชีในปัจจุบันมีความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายบัญชีมาก  ตัวเลขในงบการเงินจึงต้องเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีเสมอ  ฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของกิจการที่ผู้บริหารได้ดำเนินมาในรอบปีบัญชีหนึ่งจะต้องถือตามเกณฑ์นี้  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ  ผลการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจของผู้บริหารจะปรากฏออกมาในรูปของบัญชี  และงบการเงินตามกติกาที่เรียกว่า  มาตรฐานการบัญชีนั่นเอง

ผู้บริหารที่มิใช่นักบัญชี  หากเข้าใจบัญชีจะสามารถใช้บัญชีนำการดำเนินกิจกรรมธุรกิจ เพื่อให้ได้ผลมิเพียงแต่ด้านกิจกรรมธุรกิจเท่านั้น  แต่รวมไปถึงตัวเลขในงบการเงินตามกติกาทางบัญชีด้วย ผู้บริหารจึงควรใส่ใจและหาความรู้เกี่ยวกับบัญชีในการทำธุรกิจ หากสามารถทำได้ดังนี้ก็จะไม่ต้องผิดหวังในตัวเลขที่ปรากฏในงบการเงินเมื่อผู้สอบบัญชีตรวจสอบหลังวันสิ้นปี

“บัญชี”  ชี้นำการดำเนินกิจกรรมธุรกิจ

ในการดำเนินธุรกิจแต่ละกิจกรรมทางธุรกิจมีกติกาทางบัญชีที่ต้องยึดถือ  และใช้เป็นหลักในการบันทึกผลการดำเนินกิจกรรมนั้น  ผู้บริหารต้องเข้าใจมาตรฐานการบัญชีและรู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์  ผลงานที่ผู้บริหารคาดหวังก็จะได้ดังที่ตั้งใจไว้  หากมิใช่เช่นนั้นตัวเลขที่ปรากฏทางบัญชีก็จะแปรเปลี่ยนไป

บัญชีก็ต้องเป็นบัญชี ผิดกติกาหรือมาตรฐานการบัญชีไม่ได้ แม้จะขัดกับความรู้สึกผู้บริหาร ซึ่งก็น่าเห็นใจที่อุตส่าห์เร่งสุดตัว  ขายได้แล้วแต่ตัวเลขกลับแสดงผลงานในงบการเงินปีนี้ไม่ได้  ตามมาตรฐานการบัญชี  รายการขายจะบันทึกรับรู้ได้ในบัญชีก็ต่อเมื่อได้ขายและส่งมอบสินค้าแล้ว เชื่อแน่ว่าผู้บริหารจะมีวิธีจัดการที่จะให้รายการขายที่จะต้องได้ยอดทันสิ้นปีมีคุณสมบัติตามกติการทางบัญชี  และบันทึกบัญชีขายได้อย่างถูกต้อง

บัญชีที่จะใช้เพื่อชี้นำการดำเนินกิจกรรมธุรกิจให้ได้ผลงานตามเป้าหมายนั้น จะต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจด้วยโดยจะต้องเลือกใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นเศรษฐกิจในยามปกติหรือยามรุ่งเรือง  หรือยามถดถอย นอกจากนี้  ยังต้องคำนึงถึงนโยบายในการบริหารด้วยว่าจะเป็นการบริหารในเชิงรุกหรือตั้งรับ ฝ่ายบัญชีต้องเพิ่มบทบาทช่วยผู้บริหารในการจัดการและดำเนินกลยุทธ์ธุรกิจมากขึ้น  ในหลายกรณีจะต้องช่วยในด้านการควบคุมและการบริหารความเสี่ยงเพื่อมิให้เกิดความเสียหายในการดำเนินธุรกิจด้วย  ที่สำคัญจะต้องช่วยให้ผู้บริหารทราบถึงมาตรฐานการบัญชีที่เกี่ยวข้อง  และผลที่จะปรากฏในงบการเงินเมื่อมีการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจภายใต้กติกาทางบัญชีนั้น  หากมีปัญหาในการปฏิบัติตามมาตรฐานดังกล่าว ก็จะต้องช่วยผู้บริหารแก้ไขให้ถูกทาง ด้วยเหตุนี้ผู้บริหารจึงจำเป็นต้องรู้และเข้าใจในมาตรฐานทางบัญชีว่ามีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางธุรกิจอย่างไร เพื่อให้สามารถใช้บัญชีเป็นกระจกเงาชี้นำการดำเนินกิจกรรมธุรกิจ จะได้ไม่มีปัญหาที่ต้องแก้ไขในภายหลัง ผลงานที่ออกมาในหน้างบการเงินจะได้เป็นไปอย่างที่ผู้บริหารคาดหวังไว้

“บัญชี”กับความไม่แน่นอน

ในการดำเนินธุรกิจ  มีความไม่แน่นอนหลายอย่างที่กิจการจะต้องเผชิญ  ซึ่งมีทั้งความไม่แน่นอนในการสูญเสียสินทรัพย์  หรือเกิดหนี้สินและค่าใช้จ่ายขึ้นโดนมิได้คาดหมายมาก่อน  ความไม่แน่นอนเหล่านี้  บางอย่างพอคาดการณ์ได้ว่าผลจะเกิดขึ้นอย่างไร  ช้าเร็วแค่ไหนซึ่งก็ดียังมีความไม่แน่นอนหลายอย่างที่คาดหมายไม่ได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด  และมีผลเป็นอย่างไร  จึงเป็นสิ่งที่ผู้บริหารต้องให้ความสนใจและบริหารความไม่แน่นอนด้วยความระมัดระวังรอบ ความไม่แน่นอนนั้นสามารถสะท้อนออกมาให้เห็นได้ในงบการเงินที่ผู้บริหารจัดทำขึ้น  เพราะมาตรฐานทางการบัญชีมีข้อกำหนดและวิธีการที่จะเปิดเผยให้ทราบถึงความไม่แน่นอนที่มีอยู่  หรือรับรู้ผลของความไม่แน่นอนเหล่านั้นในบัญชีและงบการเงิน  ดังนั้น  หากผู้บริหารซึ่งเป็นผู้จัดทำงบการเงินและผู้ใช้งบการเงินต่าง ๆ เข้าใจในหลักการบัญชีดังกล่าว  ก็จะสามารถบริหารจัดการเกี่ยวกับความไม่แน่นอนเหล่านี้ได้อย่างถูกต้องและถูกทาง

โดยหลักการทั่วไปของ “บัญชี”  นั้น  ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความระมัดระวังอยู่แล้ว  กล่าวคือ  มาตรฐานการบัญชีต่าง ๆ มักจะกำหนดมิให้งบการเงินแสดงตัวเลขในเชิงบวกจนเกินไป  แต่จะต้องมีการเผื่อเหลือเผื่อขาดไว้ก่อน  ด้วยเหตุนี้เองจึงต้องมีการตั้งสำรองในบัญชีเอาไว้เสมอ  เผื่อมีเหตุการณ์ซึ่งเป็นความไม่แน่นอนที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายหรือค่าใช้จ่ายแก่กิจการ  ตัวอย่างเช่น  เมื่อเกิดคดีฟ้องร้องกันขึ้น  หากคาดได้ว่าบริษัทจะแพ้และมีการสูญเสียที่สามารถประมาณค่าเสียหายได้  มาตรฐานการบัญชีจะกำหนดให้รับรู้ค่าใช้จ่ายนี้ไว้ล่วงหน้าแม้คดีจะยังไม่สิ้นสุดก็ตาม  แต่ในกรณีกลับกัน  หากคาดการณ์ว่าผลของคดีซึ่งยังไม่แน่นอนจะเป็นคุณต่อกิจการทำให้ได้รับค่าชดใช้ค่าเสียหายหรือได้รับค่าชมเชย  มาตรฐานการบัญชีจะกำหนดให้ชะลอการรับรู้นั้นไว้ก่อนจนกว่าคดีจะแล้วเสร็จและเกิดรายได้จากการได้รับชดใช้หรือชดเชยแล้วจริง ๆ เท่านั้นหลักความระมัดระวังทางบัญชีข้างต้นอาจมีผู้บริหารที่มีความคิดไม่เห็นด้วยเพราะจะทำให้ผลงานที่ปรากฏในงบการเงินเกิดความไม่เสมอภาคกัน  อันเนื่องจากในสถานภาพเดียวกันของความไม่แน่นอน  มาตรฐานการบัญชีกำหนดให้รับรู้ค่าเสียหายที่จะต้องจ่ายด้านเดียว  แต่หากมีการรับรายได้บ้างกลับยังบันทึกบัญชีไม่ได้จนกว่าจะได้รับจริง อย่างไรก็ดี  ความไม่แน่นอนตามตัวอย่างที่กล่าวข้างต้น  หากไม่สามารถคาดคะเนได้ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่อย่างไร  หรือไม่อาจประมาณจำนวนเงินค่าเสียหายที่จะต้องจ่ายได้  มาตรฐานการบัญชีก็มีข้อกำหนดให้เปิดเผยข้อมูลนี้ไว้ในหมายเหตุประกอบงบการเงินเพื่อให้ผู้ใช้งบการเงินได้ทราบ  โดยถือเป็นความรับผิดชอบของผู้บริหารที่จะต้องเปิดเผยข้อมูลให้ถูกต้องและเพียงพอ

การรับรู้หรือเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนที่มีผลกระทบต่องบการเงินอยู่ที่ความจริงใจและความโปร่งใสของผู้บริหาร  ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับกิจกรรมทางธุรกิจที่ก่อให้เกิดความไม่แน่นอน  หากไม่ปกปิดและดำเนินการตามข้อกำหนดในมาตรฐานการบัญชีอย่างตรงไปตรงมา  งบการเงินก็ย่อมสะท้อนให้เห็นความไม่แน่นอนที่กิจการเผชิญอยู่ได้อย่างชัดเจน  ตลอดจนแนวโน้มหรือสถานภาพของความไม่แน่นอนต่อฐานะการเงินและผลการดำเนินงานในแต่ละงวดบัญชี  เกิดผลดีต่อผู้ใช้งบการเงินและผู้มีส่วนได้เสียในกิจการนั้นที่ได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเที่ยงแท้สามารถประเมินผลกระทบหรือขอข้อมูลเพิ่มเติม  เพื่อตัดสินใจดำเนินการเกี่ยวกับความไม่แน่นอนนั้นได้  เสียงบ่นเรื่องรายการนอกงบการเงินหรือความไม่โปร่งใสของผู้บริหารก็จะเบาบางลงหรือไม่เกิดขึ้นเลย

มาตรฐานบัญชี

เป็นที่ทราบกันดีว่าในการขายสินค้านั้น กำไรเกิดจากราคาขายหักด้วยต้นทุนของสินค้า แต่สินค้าที่ซื้อมาเพื่อขายมิได้มีราคาเดียวกันตลอดไป เพราะต้องมีการซื้อหลายครั้ง และในแต่ละครั้งราคาสินค้าก็จะแตกต่างกันไปตามสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในท้องตลาด  ดังนั้น  ในทาง “บัญชี”  จึงมีการกำหนดมาตรฐานการบัญชีขึ้นมาใช้ในการคำนวณราคาต้นทุนของสินค้าที่ขายและต้องให้สอดคล้องกับความเป็นไปในตลาดด้วย

ตามมาตรฐานการบัญชีนั้น ราคาต้นทุนของสินค้าจะคำนวณตามข้อสมมติฐานในการหมุนเวียนของสินค้า ซึ่งมีอยู่ 3 วิธีการหลัก คือ

  • วิธีเข้าก่อนออกก่อน วิธีนี้ถือว่าสินค้าชิ้นใดซื้อมาก่อนจะเป็นชิ้นที่ถูกขายไปก่อน  ต้นทุนของสินค้าที่ขายได้จึงเป็นของสินค้าที่ซื้อมาก่อนชิ้นอื่นในขณะนั้น
  • วิธีเข้าหลังออกก่อน วิธีนี้ถือว่าสินค้าชิ้นใดซื้อมาหลังสุดจะเป็นชิ้นที่ขายไปก่อน  ต้นทุนของสินค้าที่ขายได้จึงเป็นของชิ้นที่ซื้อมาหลังสุด
  • วิธีถัวเฉลี่ย วิธีนี้จะไม่คำนึงว่าสินค้าชิ้นใดซื้อมาก่อนหรือซื้อมาทีหลัง  แต่จะนำต้นทุนสินค้าที่มีอยู่มาถัวเฉลี่ยเป็นราคาเดียว  แล้วถือราคานั้นเป็นต้นทุนสินค้าที่ขายออกไป

จะเห็นได้ว่าทั้งสามวิธีการข้างต้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก  แต่จะเลือกใช้วิธีการใดจึงจะเหมาะสมกับสถานการณ์ทางธุรกิจของกิจการที่ประกอบการอยู่กลับเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก  เพราะถ้าเลือกวิธีที่ไม่เหมาะสมก็จะมีผลให้กำไรขาดทุนจากการขายสินค้าที่ปรากฏในงบการเงินนั้นเกิดความแตกต่างกัน  และผลการดำเนินงานจะไม่เป็นไปดังที่ผู้บริหารคาดหวัง  ซึ่งในบางกรณีอาจทำให้กำไรน้อยหรือถึงกับขาดทุนเลยก็ได้  ดังนั้น  การเลือกวิธีการบัญชีที่เหมาะสมในการคำนวณต้นทุนสินค้าจึงเป็นเรื่องสำคัญ  อันจะทำให้ผลการดำเนินงานตามงบกำไรขาดทุนเป็นคุณต่อกิจการ

ประเด็นอยู่ที่ว่า  ผู้บริหารต้องการดำเนินกลยุทธ์ในการทำธุรกิจอย่างไร  ถ้าต้องการแสดงผลงานที่ดีมีกำไรเร็ว  ก็ต้องเลือกใช้วิธีเข้าก่อนออกก่อน  แต่หากต้องการตรงกันข้าม  ก็ต้องเลือกใช้วิธีเข้าหลังออกก่อน  อย่างไรก็ดี  ผู้บริหารอาจเลือกเดินสายกลาง  โดยเลือกใช้วิธีถัวเฉลี่ย  ซึ่งราคาต้นทุนของสินค้าที่ขายจะถูกเฉลี่ยให้เท่ากันหมด  กำไรขาดทุนจากการขายสินค้าดังกล่าวจะมีจำนวนเงินเท่ากันตลอดช่วงเวลาที่ราคาขายของสินค้าเหล่านี้มิได้เปลี่ยนแปลง

ดังนั้นการเลือกใช้วิธีการบัญชีสามารถช่วยผู้บริหารในการดำเนินธุรกิจให้เหมาะกับวัตถุประสงค์ได้  กล่าวคือหากผู้บริหารไม่ต้องการให้มีปัญหาต้นทุนสินค้าที่แตกต่างกันตามราคาขึ้นลงในตลาด  ผู้บริหารก็สามารถเลือกใช้วิธีตีราคาสินค้าตามวิธีการถัวเฉลี่ย  จะทำให้ผลการดำเนินงานออกมาไม่หวือหวาและไม่เปลี่ยนแปลงขึ้นลงเหมือนการใช้วิธีเข้าก่อนออกก่อน  หรือวิธีเข้าหลังออกก่อน แต่ถ้าผู้บริหารมีความจำเป็นต้องแสดง  ผลงานที่สร้างความเชื่อมั่นในตัวกิจการก่อนก็ต้องเลือกใช้วิธีเข้าก่อนออกก่อนในสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจที่แนวโน้มของราคาสินค้ามีแต่จะสูงขึ้น  อย่างไรก็ตาม  หากเป็นสภาวะที่ราคาสินค้ามีแนวโน้มลดลงก็จะต้องใช้วิธีเข้าหลังออกก่อนจึงจะได้ผลการดำเนินงานที่ดีตามที่ประสงค์

การเลือกใช้วิธีการบัญชีนี้  เมื่อได้เลือกวิธีการใดวิธีการหนึ่งไปแล้ว  หากต้องการจะเปลี่ยนไปเลือกใช้วิธีการบัญชีอีกวิธีการหนึ่ง  จำเป็นต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับข้อกำหนดในมาตรฐานการบัญชีเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางบัญชีด้วย

กล่าวโดยสรุป ผู้บริหารที่มีความรู้เรื่องมาตรฐานการบัญชีและเข้าใจถึงผลที่จะกระทบต่องบการเงินเนื่องจากการเลือกใช้วิธีการบัญชีที่แตกต่างกัน  ย่อมได้เปรียบและจะสามารถดำเนินกิจกรรมและบริหารธุรกิจให้สอดคล้องกับมาตรฐานการบัญชีที่เลือกใช้  อันจะส่งผลให้งบการเงิน หรือกระจกเงาของการดำเนินธุรกิจสามารถสะท้อนฐานะการเงินและผลการดำเนินงานได้ตามที่ผู้บริหารคาดหมายไว้

บทความโดย : www.accountancy.in.th

 1357
Visitor
Get started for free today. Free Trial
Create a website for free Online Stores