บัญชีรายรับ-รายจ่าย หัวใจของความมั่งคั่ง
เรื่อง ภาดนุ ภาพ เอพี
การจะใช้เงินทำงาน สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เราต้องมีเงินไว้ใช้ทำงานจริงๆ แต่หากคุณยังเก็บเงินไม่เป็น มีเงินไม่พอใช้ หรือบริหารเงินให้เหลือคงไว้ในบัญชีไม่ได้ละก็ เรื่องการใช้เงินทำงานก็แทบไม่ต้องพูดถึง หลักการเบื้องต้นก็คือ รู้จักหา รู้จักใช้ให้พอดี และรู้จักเก็บ แต่หลายคนมาพบว่าตัวเองเก็บเงินไม่อยู่สักที แต่ละเดือนเงินหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ เป็นอย่างนี้แทบทุกเดือน จากเดือนก็กลายเป็นทั้งปี ไปๆ มาๆ เราทำงานมาครึ่งชีวิตก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เลยว่าเงินมันโดนลักเอาไปตอนไหน ทำไมเราถึงไม่มีเงินสำรองไว้เลย
ดังนั้น ทางเดียวที่จะทำให้เห็นภาพได้ก็คือ เราต้องมี “บัญชีรายรับ-รายจ่าย” แต่หลายคนอาจมองว่าจะมีทำไม เราแค่หาเงินมาแล้วก็แบ่งเก็บไปเรื่อยๆ ไม่ได้เหรอ ไม่เห็นต้องมาทำบัญชีให้เสียเวลาเลย แต่คุณอาจยังไม่ทราบว่า การทำบัญชีนี้มีประโยชน์เป็นอย่างมากสำหรับการสร้างวินัยทางการเงินให้กับเราทุกคน ซึ่งประโยชน์ที่ว่านี้สามารถอธิบายได้เป็นข้อๆ คือ
1.การบันทึกรายรับรายจ่าย จะทำให้เราเห็นชัดเจนว่าเรามีรายรับมาจากไหนบ้าง และต้องหมดเงินไปกับเรื่องอะไรบ้าง ได้เห็นกระแสและพฤติกรรมทางการเงินของเราในทุกๆ ด้าน
2.เมื่อมีบันทึกรายจ่าย เราจะสามารถแยกแยะได้ว่ารายจ่ายส่วนไหนที่ฟุ่มเฟือย และรายจ่ายส่วนไหนที่จำเป็น เราจะได้ลดรายจ่ายที่ฟุ่มเฟือยลง และถนอมเงินไว้สำหรับรายจ่ายที่จำเป็น ซึ่งจะเป็นตัวกำจัดสภาวะชักหน้าไม่ถึงหลังได้อย่างดีที่สุด
3.การบันทึกรายรับรายจ่ายเป็นประจำ จะทำให้เราตระหนักถึงคุณค่าของเงินมากขึ้น เราจะคิดก่อนใช้เงิน และเราจะเกิดความภูมิใจหากเราเก็บเงินได้มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งจะเป็นตัวเพิ่มกำลังใจได้เป็นอย่างดี
4.เมื่อเราทำบัญชีอย่างต่อเนื่อง ความอยากที่จะพัฒนาตัวเองให้มีความมั่นคงทางการเงินก็จะเพิ่มขึ้น เพราะเราจะเห็นภาพและผลจากการใช้และเก็บเงินอย่างเหมาะสมชัดเจนจากบันทึกการเงินนี้
การมีบัญชีรายรับรายจ่ายจึงเปรียบได้กับการเก็บข้อมูลเบื้องต้นว่าเรามีพฤติกรรมการใช้เงินอย่างไร ก่อนจะลงมือปรับแก้ ลดจุดฟุ่มเฟือย และเพิ่มจุดสะสมเงิน ซึ่งคนจำนวนมากพอได้ทำบัญชีรายรับรายจ่าย ถึงได้เข้าใจว่าตัวเองใช้เงินแบบไม่คิดได้ขนาดนี้เชียวหรือ บางคนต้องหมดเงินไปกับสิ่งไร้สาระกว่า 40% ของรายได้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เงินของคนคนนั้นจะไม่เหลือเก็บใดๆ เลย
ฉะนั้น การทำบัญชีจึงเป็นขั้นแรกแห่งการกำหนดทิศทางอนาคตของเรา ซึ่งรูปแบบของบัญชีนั้นก็ไม่ยุ่งยากแต่อย่างใด แค่จดทุกวัน บันทึกลงไปว่าเราจ่ายค่าอะไรทุกรายการเลย ไม่เว้นแม้แต่ค่าขนมถุงละ 20 บาท หรือค่ารถเมล์ 9 บาท เพราะจะมากหรือน้อยก็คือรายจ่ายทั้งสิ้น จากนั้นเมื่อครบ 1 เดือน ค่อยมาแยกแยะและวิเคราะห์ผลที่ได้อีกที
ว่าที่ผ่านมาเราจ่ายเงินให้กับอะไรบ้าง โดยอาจจะแยกหมวดหมู่เป็นค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าเสื้อผ้า ค่ารองเท้า ค่าตั๋วหนัง ค่าหนังสือ และค่าขนม รวมทั้งค่าอื่นๆ อีกตามกรณี เช่น กระเป๋าใบใหม่ มือถือ หรือภาระรับผิดชอบในบ้านอย่างค่าเทอมลูก หรือค่าขนมของลูก เป็นต้น
เมื่อเราได้รายละเอียดแล้ว เราก็จะสามารถดำเนินการปรับพฤติกรรม ลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงได้ และสามารถแปลงมันให้เป็นเงินเก็บได้ตามที่เราต้องการ ทำให้รายได้เพียงพอกับรายจ่าย นี่คือเป้าหมายแรกที่หากเราทำสำเร็จได้ ต่อไปมันก็จะกลายเป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่สำหรับอนาคตทางการเงินของคุณไงล่ะ แต่จุดสำคัญคือ เมื่อวางแนวทางการปรับพฤติกรรมแล้ว คุณต้องปรับจริง เปลี่ยนจริง ห้ามใช้มุข “พรุ่งนี้ค่อยเริ่มก็ได้” เป็นอันขาด เพราะพรุ่งนี้ไม่เคยมีมาถึงสำหรับผู้ที่ไม่เริ่มทำในนาทีนี้ บางคนใช้มุข “พรุ่งนี้” อยู่ 10 ปี กว่าจะรู้ตัวว่าผัดผ่อนมานานขนาดไหนก็อาจสายเกินไปเสียแล้ว
เอาเป็นว่า ถ้าเริ่มทำวันนี้ เท่ากับคุณสร้างอนาคตได้เร็ว และเมื่อเริ่มต้นเร็ว คุณย่อมมีอิสรภาพทางการเงินได้เร็วขึ้นแน่นอน
บทความโดย : 40plus.posttoday.com