การที่กิจการนำเงินไปลงทุนในหลักทรัพย์อาจเกิดจากหลายเหตุผล เช่น ต้องการกระจายความเสี่ยง ต้องการลงทุนในตลาดใหม่ หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นต้น โดยที่การลงทุนนั้นๆก็จะหวังผลตอบแทนในรูปแบบต่างๆ ได้แก่ เงินปันผล ดอกเบี้ย และส่วนเกินจากราคา(กำไรจากการถือครอง)
สรุปแล้ว การลงทุนนั้นก็จะนำไปสู่การซื้อธุรกิจ อันจะส่งผลต่อการรายงานทางการเงินเกี่ยวกับเงินลงทุนซึ่งจะขึ้นอยู่กับอิทธิพลหรือความสามารถในการควบคุมต่อบริษัทที่เราไปลงทุน นั่นเอง
แนวทาง ในการที่จะวัดความมีอิทธิพลอย่างมีสาระสำคัญในการควบคุมซึ่งอเมริกายังใช้อยู่ ซึ่งของไทยยกเลิกไปแล้วแต่ในทางปฏิบัติยังใช้อยู่ ได้แก่
ระดับของการลงทุน
|
ระดับอิทธิพล
|
วิธีที่ใช้ในรายงาน
|
น้อยกว่า 20%
|
ไม่มีอิทธิพลอย่างมี สาระสำคัญ
|
cost / Market
|
20% - 50%
|
มีอิทธิพลอย่างมีสาระสำคัญ แต่ไม่มีอำนาจควบคุม
|
Equity method
|
มากกว่า 50%
|
มีอิทธิพลอย่างมีสาระสำคัญ และควบคุมได้
|
Consolidation
|
จุดมุ่งหมายหลักในการจัดประเภทรายงานเป็นแบบต่างๆ ก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงขีดความสามารถในการควบคุมของผู้ลงทุน ว่ามีอิทธิพลต่อกิจการที่ถูกลงทุนมากน้อยแค่ไหน ดังนี้
- cost / Market - แสดงให้เห็นว่าทั้งสองบริษัทจะถูกแยกออกเป็นคนละส่วน ไม่เกี่ยวข้องกัน รายได้หรือกำไรจะขึ้นอยู่กับเงินปันผลที่ได้รับจริง หรือขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงในมูลค่าทางการตลาดของเงินลงทุน
- Equity Method - แสดงให้เห็นความมีอิทธิพลในบริษัทที่เราไปลงทุน ดังนั้นการจัดทำรายงานจึงควรรวมไปถึงกำไรที่ทำได้จากบริษัทที่เราไปลงทุนด้วยตามสัดส่วนของการลงทุน
- Consolidation - แสดงให้เห็นความมีอิทธิพลและความมีอำนาจในการควบคุมบริษัทที่เราไปลงทุน ดังนั้นจึงมองว่าทั้งสองบริษัทเสมือนเป็นหนึ่งเดียวกัน ทั้งที่ในทางกฎหมายนั้นอาจจะแยกกันก็ตาม แต่รายงานทางการเงินนั้นต้องแสดงรวมกันทุกรายการ(บรรทัดต่อบรรทัด)
สรุปหลักเกณฑ์ในการพิจารณาแนวทางปฏิบัติ
น้อยกว่า 20% ใช้มาตรฐาน 40 การบัญชีสำหรับเงินลงทุนในตราสารหนี้และตราสารทุน
20-50 % ใช้มาตรฐาน 45 (ปรับปรุง2550) เงินลงทุนในบริษัทร่วม
มากกว่า 50% ใช้มาตรฐาน 44 (ปรับปรุง2550) งบการเงินรวม และงบการเงินเฉพาะกิจการ
มาตรฐาน 40 การบัญชีสำหรับเงินลงทุนในตราสารหนี้และตราสารทุน
เทียบเคียงกับ SFAS 115 (1993) ซึ่งแบ่งประเภทของออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
ประเภทของหลักทรัพย์
|
มูลค่าที่บันทึก
|
งบกำไรขาดทุน (จะรับรู้)
|
1. ถือจนกว่าจะครบกำหนด
|
ราคาทุน
|
- ดอกเบี้ย
- กำไรขาดทุนที่เกิดจากการขายจริง
|
2. หลักทรัพย์เผื่อขาย
|
ราคาตลาด
|
- เงินปันผล, ดอกเบี้ย
- กำไรขาดทุนที่เกิดจากการขายจริง
|
3. หลักทรัพย์เพื่อค้า
|
ราคาตลาด
|
- เงินปันผล, ดอกเบี้ย
- กำไรขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง
และเกิดขึ้นจริง
|
มาตรฐานบัญชี # 40 (ร่างปรับปรุงปี 2547)
ส่วนปรับปรุง
- แก้ไขคำนิยาม ของหลักทรัพย์เพื่อค้า เผื่อขาย และตราสารหนี้ที่จะถือจนครบกำหนด
- กำหนดให้กิจการที่ขายตราสารหนี้ที่จะถือจนครบกำหนดหรือจัดประเภทรายการใหม่ ในจำนวนที่มีนัยสำคัญ (เมื่อเทียบกับที่มีอยู่) กิจการต้องไม่จัดตราสารหนี้ใดทั้งที่มีอยู่ในปัจจุบันและอนาคต เป็นตราสารหนี้ที่จะถือจนครบกำหนด ในรอบระยะเวลาบัญชีปัจจุบัน และภายใน 2 รอบระยะเวลาถัดไป เช่น ถือเป็นเผื่อขายแล้วจะมาบอกว่าเป็นเพื่อค้า จะถูกลงโทษตามที่กล่าว นี้เป็นมาตรฐานแบบใหม่ซึ่งมีมาตรการที่จะไม่ให้ขยับเขยื้อนได้ง่ายๆอะไรเว้นแต่จะมีเหตุผลที่เพียงพอ
- แก้ไขเรื่องการด้อยค่าให้ชัดเจนขึ้น
- กำหนดวิธีการบันทึกบัญชี ในการโอนเปลี่ยนประเภท ให้ชัดเจนและครบถ้วนขึ้น
การวิเคราะห์หลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด
เราควรแยกผลของการดำเนินงานออกจากผลจากการลงทุน ด้วยเหตุผลดังนี้
- ผลของการดำเนินงานและผลจากการลงทุนสามารถแยกได้อย่างชัดเจน
- ให้ความสำคัญกับผลการดำเนินงานจากธุรกิจหลักของกิจการมากกว่าผลจากการลงทุน
ตัวอย่าง
Exhibit 13-2 Helmerich & Payne
1996 1997 1998
กำไรรวมผลจากการลงทุน
การเปลี่ยนแปลง
- 57.8 24.8
เปอร์เซ็นต์
- 83 % 19.5 %
กำไรไม่รวมผลจากการลงทุน
การเปลี่ยนแปลง
- 52.2 (8.4)
เปอร์เซ็นต์
- 81.8 % (7.2 %)
การแยกผลการดำเนินงานจากการลงทุนออกจากการดำเนินงานปกติจะช่วยในการวิเคราะห์
- ประสิทธิภาพในการดำเนินงานเทียบกับบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน
- สามารถนำผลตอบแทนจากการลงทุนไปเปรียบเทียบกับผลตอบแทนแบบ Benchmark
ผลกระทบจากการจัดประเภทหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด
ผลกระทบด้านการจัดประเภทต่อการรายงาน
- ตัวที่เรายังไม่รับรู้ในการเปลี่ยนแปลง มันก็จะไม่กระทบต่อรายงานกำไร เช่น หลักทรัพย์เผื่อขาย และ ตราสารที่จะถือจนครบกำหนด ซึ่งกำไรขาดทุนจะไปปรากฏอยู่ในงบดุล
- ในทางกลับกัน หลักทรัพย์เพื่อค้า จะรายงานในงบกำไรขาดทุน
- เป็นไปได้ว่า ผู้บริหารจะบิดเบือนและตกแต่งกำไรโดยการจัดประเภทหลักทรัพย์ใหม่ ซึ่งปัจจุบันทำได้ยาก
- การพิจารณาถึงกรณีที่เรายังไม่รับรู้กำไรจากหลักทรัพย์เผื่อขาย (AFS)
- การจัดประเภทหลักทรัพย์ใหม่ จะทำให้เกิดกำไรในงบกำไรขาดทุน
การบัญชีของ Equity Method มีเงื่อนไขในการใช้ดังนี้
- Equity Method จะใช้เมื่อผู้ลงทุนมีอิทธิพลต่อการจัดการ, การดำเนินงาน, การลงทุน และการตัดสินใจทางด้านการเงินของผู้ถูกลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ
- ผู้ลงทุนต้องรายงานสินทรัพย์สุทธิตามสัดส่วนการลงทุน และรับรู้รายได้ตามสัดส่วนของการลงทุน
มาตรฐานบัญชี 45 เงินลงทุนในบริษัทร่วม (ปรับปรุง 2550)
ส่วนปรับปรุง
- ปรับปรุงให้สอดคล้องกับ IAS 28
- ปรับปรุงในเรื่องที่สำคัญดังนี้
- ชื่อมาตรฐาน “เงินลงทุนในบริษัทร่วม”
- ขอบเขตของมาตรฐาน
- มาตรฐานฉบับนี้ให้ถือปฏิบัติกับเงินลงทุนในบริษัทร่วม ยกเว้นเงินลงทุนในบริษัทร่วมซึ่งถือโดย
- กิจการร่วมลงทุน
- กองทุนรวม หน่วยลงทุน รวมทั้งกองทุนประกันภัยซึ่งมีลักษณะของเงินลงทุน
- ข้อยกเว้นในการนำวิธีส่วนได้เสียมาปฏิบัติ
- ผู้ลงทุน ต้องบันทึกเงินลงทุนในบริษัทร่วม โดยใช้วิธีส่วนได้เสียในทุกกรณี (ข้อยกเว้นอ่านในชีทเองนะคะ.)
- งบการเงินเฉพาะกิจการ (กรณีที่เสนอร่วมกับงบการเงินรวม)
- ผู้ลงทุน ต้องบันทึกบัญชีเงินลงทุนในบริษัทร่วม ในงบการเงินเฉพาะกิจการของผู้ลงทุน ตามข้อกำหนดในมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 44 ซึ่งให้บันทึกด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ดังนี้
- ราคาทุน หรือ
- วิธีการบัญชีตามที่กำหนดในมาตรฐานบัญชี เรื่องการรับรู้และการวัดมูลค่าตราสารการเงิน (IAS39)
การบัญชีและการวิเคราะห์ตามวิธีส่วนได้เสีย
- ถ้าหุ้นของบริษัทที่เราไปลงทุน มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ และการเปลี่ยนแปลงราคาในตลาดหลักทรัพย์นั้นจะไม่ถูกบันทึกจนกว่าจะเกิดการด้อยค่าอย่างถาวร
- สำหรับนักวิเคราะห์ทางการเงิน ควรจะพิจารณาตัวชี้วัดมูลค่าที่ดีกว่าจำนวนที่รายงานอยู่ในงบการเงิน ( ราคาตลาดควรนำมาใช้เพื่อสะท้อนมูลค่าในการวิเคราะห์)
- ถ้าบริษัทที่ลงทุนไม่มีอิทธิพลในการเข้าถึงกำไรหรือเรื่องอื่นๆในบริษัทผู้ถูกลงทุน แม้ว่าจะถือหุ้นมากแค่ไหนก็ให้ปฏิบัติเสมือนเป็นการลงทุนในหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด (เนื้อหาสำคัญกว่ารูปแบบ)
- ถ้าไม่สามารถควบคุมได้ ไม่ว่าจะถือหุ้นมากแค่ไหนก็ให้ใช้ราคาตลาด (โดยหันกลับไปใช้มาตรฐาน 40 )
มาตรฐานบัญชี44 งบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะกิจการ (ปรับปรุง 2550)
ส่วนปรับปรุง
- ปรับปรุงให้สอดคล้องกับ IAS 27
- ปรับปรุงในเรื่องที่สำคัญ ดังนี้
- ชื่อมาตรฐาน “งบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะกิจการ”
- ขอบเขตของมาตรฐาน
- มาตรฐานฉบับนี้ให้ถือปฏิบัติสำหรับกลุ่มกิจการที่อยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัทใหญ่
- ข้อยกเว้นในการทำงบการเงินรวม บริษัทใหญ่จะไม่นำเสนองบการเงินรวมได้ ต้องเป็นไปตามลักษณะที่กำหนดทุกข้อต่อไปนี้
- บริษัทใหญ่มีฐานะเป็นบริษัทย่อยของกิจการอื่น
- ตราสารทุน หรือตราสารหนี้ ไม่มีการซื้อขายในตลาดสาธารณะ
- บริษัทใหญ่ไม่ได้อยู่ระหว่างการนำส่งงบการเงินให้ กลต. เพื่อวัตถุประสงค์ในการขายหลักทรัพย์ในตลาดสาธารณะ
- บริษัทใหญ่ในลำดับสูงสุด ได้จัดทำงบการเงินรวม เผยแพร่เพื่อประโยชน์ของสาธารณชน ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานบัญชีที่รับรองทั่งไปแล้ว
- งบการเงินเฉพาะกิจการ
- เมื่อจัดทำงบการเงินเฉพาะกิจการ เงินลงทุนในบริษัทย่อย หรือ เงินลงทุนในกิจการที่ควบคุมร่วมกัน หรือเงินลงทุนในบริษัทร่วม ที่ไม่ได้จัดประเภทเป็นเงินลงทุนถือไว้เพื่อขาย ตามมาตรฐานการบัญชีเรื่อง สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนที่ถือไว้เพื่อขายและการดำเนินงานที่ยกเลิก ให้บันทึกบัญชีด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งดังนี้
- ราคาทุน หรือ
- วิธีการบัญชีตามที่กำหนดในมาตรฐานบัญชี เรื่อง การรับรู้และการวัดมูลค่าตราสารการเงิน
ประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ฉบับที่ 26/2549
- ให้ปรับปรุงย้อนหลัง (ถ้ากระทำได้)
ประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ฉบับที่ 6/2550
- ประเภทของงบการเงิน มี 3 ประเภท
- งบการเงินรวม
- งบการเงินที่แสดงเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสีย หมายถึง งบการเงินที่นำเสนอโดยบริษัทใหญ่ซึ่งบันทึกบัญชีเงินลงทุนในบริษัทย่อย บริษัทร่วม ตามวิธีส่วนได้เสีย
- งบการเงินเฉพาะกิจการ
สรุปแนวทางการจัดทำงบการเงิน
|
งบการเงินรวม
|
งบการเงินเฉพาะกิจการ
|
งบการเงินของกิจการ
|
มีบริษัทย่อยเท่านั้น
|
/
|
/
|
|
มีบริษัทย่อยและบริษัทร่วม
|
/ ละใช้ Equityสำหรับบริษัทร่วม
|
/
|
|
มีบริษัทร่วมเท่านั้น
|
|
/
|
/
|
การเปรียบเทียบระหว่าง Consolidation กับ Equity
- ในงบการเงินรวม ต้องแสดงหมายเหตุในทุกๆรายการที่เป็นผลมาจากการลงทุน
- Consolidation จะรวมทุกรายการของบริษัทผู้ถูกลงทุนในงบแบบบรรทัดต่อบรรทัด ส่วน Equity จะเอาสินทรัพย์และหนี้สินที่ Net กันแล้วมาแสดงแค่บรรทัดเดียวตามสัดส่วนเงินลงทุน
- ในกรณีที่ มีการรวมกันหลายๆส่วนงาน จำเป็นต้องมีรายการจำแนกตามส่วนงาน เพื่อให้ง่ายต่อการวิเคราะห์
อย่างไรก็ดี วิธีส่วนได้เสีย สามารถบิดเบือนงบการเงินได้ ดังนี้
- การวัดผลกำไร แม้ว่ากำไรสุทธิของบริษัทย่อยจะเข้าไปรวมกำไรของบริษัทแม่ก็ตาม สินทรัพย์ที่จะทำให้เกิดรายได้ไม่ได้รวมอยู่ด้วย ซึ่งจะทำให้บริษัทแม่ มี ROA , ROS ที่สูงเกินไปรวมถึง ความสามารถในการจ่ายชำระดอกเบี้ยก็สูงเกินไปด้วย
- การวัดความสามารถในการชำระหนี้
- หนี้สินจะถูกซ่อนไว้ในบริษัทผู้ถูกลงทุน
- สินทรัพย์ที่มารวมเป็นก้อน ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เป็นสินทรัพย์มีตัวตน หรือไม่มีตัวตน
- การขาดข้อมูลโดยเกิดจากยอดรวมของผู้ลงทุน จะไม่รวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้ถูกลงทุน เช่น การเช่าซื้อ derivativesและ debt covenants
บทความโดย : http://xn--12cfjb4gd5dd4a6b2cxaftl4pk4s.blogspot.com