BLOG myAccount Cloud : Page 105

วันหยุดถือเป็นวันพักผ่อนหลังจากที่เราทำงานอย่างหนักมาทั้งสัปดาห์ ซึ่งเราจะได้ใช้เวลาของวันหยุดเพื่อกิจกรรมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ออกกำลังกาย, ท่องเที่ยว, เล่นกีฬา, ทำงานอดิเรกต่างๆ หรือแม้กระทั่งซื้อของตกแต่งบ้าน การทำงานที่ดีจึงต้องสมดุลเวลาทำงาน และเวลาหยุดพักผ่อนควบคู่กันไป เนื่องจากการพักผ่อนในวันหยุดอย่างไม่เต็มที่ส่งผลให้เกิดภาวะ Burnout Syndrome ที่จะลดประสิทธิภาพในการทำงานลง ดังนั้นเราจึงต้องพักผ่อนอย่างเต็มที่ เพื่อประสิทธิภาพการทำงานที่ดียิ่งขึ้น มาดูกันว่าวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ กับการหยุดงานวันอื่นๆ มีข้อดี ข้อเสียต่างกันอย่างไร

ข้อดี – ข้อเสียของการหยุดวันเสาร์-อาทิตย์

สำหรับการทำงานวันจันทร์ – ศุกร์ (หยุดวันเสาร์ – อาทิตย์) ซึ่งเป็นวันทำงานแบบทั่วไปของพนักงานออฟฟิศ ข้าราชการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ มีข้อดีอันดับแรกคือ มีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีลูกในวัยเรียน ที่มักจะหากิจกรรมทำร่วมกับลูกๆ ในวันหยุดสุดสัปดาห์ ทั้งยังได้พักผ่อนแบบเต็มที่กับวันหยุดเสาร์ –อาทิตย์ โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องงานให้วุ่นวายใจ หลายคนอาจจะเคยชินกับการทำงาน 5 วัน/สัปดาห์ จากการปลูกฝังมาตั้งแต่วัยเรียน จนอาจมองข้ามข้อเสียของการหยุดวันเสาร์ – อาทิตย์ไป เช่น ต้องลางานวันธรรมดาเพื่อติดต่อธุระกับราชการ การต้องเจอกับคนจำนวนมหาศาลที่หยุดวันเดียวกันในการซื้อของที่ห้างสรรพสินค้า หรือไปเที่ยวต่างจังหวัดพร้อมกัน เป็นต้น

ข้อดี – ข้อเสียของการหยุดวันอื่นที่ไม่ใช่วันเสาร์-อาทิตย์

ประเภทของงานที่จะไม่ได้หยุดวันเสาร์อาทิตย์ส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มของงานบริการ เช่น Customer Service พนักงานขาย พนักงานที่ให้บริการด้านต่างๆ ในห้างสรรพสินค้า เป็นต้น งานประเภทนี้จะต้องรับมือกับกลุ่มลูกค้าจำนวนมากในวันธรรมดา และลูกค้าจำนวนมหาศาลในวันหยุด ซึ่งต้องใช้แรงการ รวมถึงแรงใจอย่างมาก แต่การทำงานในวันหยุดสุดสัปดาห์ทำให้ได้เงินเพิ่มขึ้นมากหน่อยเหมือนกับเป็นรางวัลให้คนขยัน ข้อดีอีกหนึ่งอย่างของการได้หยุดงานวันธรรมดาก็คือในวันหยุดเราจะไม่ต้องเจอกับกลุ่มคนจำนวนมากที่ต่างก็มาใช้เวลาวันหยุดสุดสัปดาห์ร่วมกันในสถานที่หนึ่ง ในส่วนของข้อเสียก็คือการทำงานถึง 6 วัน/สัปดาห์ และมีวันหยุดเพียงแค่ 1 วันเท่านั้น บางครั้งนั่นก็ไม่เพียงพอต่อการพักผ่อนต่างจังหวัด หรือช่วงวันหยุดยาวก็ได้วันหยุดน้อยกว่าเช่นกัน

อย่างไรก็ตามในการทำงานที่มีลักษณะแตกต่างกัน ย่อมทำให้ได้รับวันหยุดแตกต่างกันไปด้วย ในการทำงานจึงไม่จำเป็นต้องหยุดวันเสาร์ – อาทิตย์ทุกคน แต่สิ่งสำคัญของการทำงานอยู่ที่คุณภาพในการทำงาน โดยมีส่วนเสริมที่ขาดไม่ได้คือ การบริหารเวลาทำงาน และพักผ่อนให้เหมาะสม เพื่อประสิทธิภาพการทำงานที่ดี

เลือกมองหางานที่ใช่ในสไตล์ของคุณได้ที่ jobsDB

ในปัจจุบัน การค้าขายได้มีการพัฒนามากขึ้น ผู้ซื้อและผู้ขายไม่จำเป็นต้องพบเจอหน้ากัน ก็สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันได้ ซึ่งได้กระทำผ่านอินเทอร์เน็ต ที่เราเรียกกันว่าระบบ E-Commerce (อีคอมเมิร์ซ) เมื่อมีการซื้อขายเกิดขึ้น พนักงานบัญชีจะต้องลงบันทึกข้อมูลรายรับ-รายจ่าย ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันลงในสมุดบัญชีรายวันทั่วไป จากนั้นจึงค่อยนำไปลงบันทึกในสมุดบัญชีแยกประเภท เพื่อลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล และนำไปทำงบทดลอง เพื่อพิสูจน์ความถูกต้องของข้อมูลที่ได้บันทึกมา จากนั้นจึงนำมาสรุปเป็นข้อมูลทางการเงิน ซึ่งเราเรียกข้อมูลทางการเงินนั้นว่า Balance Sheet

การลงทุนทำธุรกิจในปัจจุบัน ย่อมมีความเสี่ยงเกิดขึ้น และสิ่งที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนนั้นก็คือ การศึกษาข้อมูล รายละเอียดของธุรกิจนั้นก่อนการลงทุนเสมอ การศึกษาข้อมูลมีหลายส่วนด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น การศึกษาเกี่ยวกับงบแสดงฐานะการเงินที่จะช่วยให้เห็นถึงข้อมูลเกี่ยวกับสถานะสินทรัพย์ หนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น งบกำไรขาดทุนจะช่วยให้เห็นถึงผลการดำเนินงาน งบกระแสเงินสดจะช่วยให้เห็นถึงสภาพคล่องของธุรกิจได้ ซึ่งการศึกษาข้อมูลนั้นจะช่วยในการตัดสินใจในการลงทุนได้

ข้อผิดพลาดที่มักพบของนักลงทุนที่วิเคราะห์และใช้ข้อมูลทางการเงิน จากประสบการณ์ที่เห็นมามากกว่า 20 ปี ของ อาจารย์ อ.สรรพงศ์ ลิมป์ธำรงกุล ครับ สรุปได้ 4 ข้อ เชิญอ่านโดยพลัน

การค้าขายได้มีพัฒนาการมาเรื่อยๆ จากในสมัยอดีตเคยซื้อขายสินค้าด้วยการแลกเปลี่ยนสินค้าด้วยกัน และพัฒนามาเป็นการใช้เหรียญเงินตราเพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้า จนมาถึงปัจจุบันนี้ และได้พัฒนาการซื้อขายจากการพบเจอหน้ากันจึงจะเกิดการแลกเปลี่ยนได้ เป็นการไม่จำเป็นต้องพบหน้ากัน ก็สามารถเกิดการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าหรือบริการได้ หรือที่เรียกว่า E-Commerce (อีคอมเมิร์ซ) เมื่อเกิดการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าขึ้น ลูกค้าจำเป็นต้องชำระเงินค่าสินค้าและบริการ แต่ก็มีบางกรณีที่ลูกค้ายังไม่มีเงินมาชำระค่าบริการ แต่อยากได้สินค้าและบริการไปใช้ก่อน แล้วค่อยผ่อนชำระเงินค่าสินค้าและบริการในภายหลัง เราเรียกการชำระเงินแบบนี้ว่า Account Receivable

ในทางทฤษฎีการประเมินกำไรเป็นเรื่องที่ดูเหมือนจะไม่ยาก แต่เหมือนกับทุกอย่างในโลกนี้ โลกความเป็นจริงเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ ต้องใช้มุมมองภาพกว้างๆประกอบการตัดสินใจ ผมได้หยิบยก “ข้อผิดพลาด” จากประสบการณ์ของตัวเองและของนักลงทุนหลายนๆท่านที่ผมมีโอกาสได้การสอนและให้ความรู้ เป็นบทเรียนราคาแพงสำหรับหลายๆคน สรุปออกมาแบบง่ายๆให้ทุกคนได้อ่านกันแบบไม่ต้องจ่าย “ค่าเล่าเรียน” ด้วยตัวเอง

Accounting Entry อะเคาทิง เอนทรี คืออะไร บัญชีนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และจะมีทุกที่ที่มีการขายสินค้าและบริการเกิดขึ้น ซึ่งจะมีพนักงานบัญชีหรือไม่มีพนักงานบัญชีนั้นก็ขึ้นอยู่กับขนาดธุรกิจของกิจการ หากกิจการเป็นบริษัทที่ใหญ่โตหรือปานกลาง ก็จะมีพนักงานบัญชีคอยทำรายการรายรับรายจ่ายอยู่ แต่หากกิจการเป็นกิจการเล็กๆ ไม่ใหญ่โตมาก เจ้าของกิจการอาจจะทำการบันทึกบัญชีเองก็ได้ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าบริษัทส่วนใหญ่จะมีพนักงานบัญชีคอยจัดการเรื่องบัญชีต่างๆ อยู่ เพื่อไม่ให้ข้อมูลต่างๆ เกิดความซ้ำซ้อนและสูญหายขึ้น ซึ่งข้อมูลทางการบัญชีเป็นข้อมูลที่สำคัญมาก เพราะเป็นข้อมูลที่บ่งบอกถึงสถานะทางการเงินของกิจการและแผนการดำเนินงานธุรกิจของกิจการ ซึ่งในการบันทึกรายการต่างๆลงในสมุดบัญชีนั้น เราเรียกกันว่า Accounting Entry

1. หนี้สินหมุนเวียนที่ทราบจำนวนหนี้ที่แน่นอน ณ วันสิ้นงวดได้แก่ 1.1 เจ้าหนี้ (Account Payable) หมายถึงจำนวนเงินที่กิจการมีภาระผูกพันที่จะต้องชำระให้กับบุคคลหรือกิจการอื่นเป็นค่าสินค้าหรือบริการ 1.2 ตั๋วเงินจ่ายระยะสั้น(Notes Payable) หมายถึง เอกสารที่กิจการออกให้กับบุคคลหรือกิจการ

การทำธุรกิจในปัจจุบัน ผู้ถือหุ้นเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของธุรกิจ ผู้ถือหุ้นเป็นผู้ที่จะนำเงินทุนของตัวเองมาร่วมลงทุนกับธุรกิจ โดยมีความต้องการที่จะให้ผู้บริหารนำเงินส่วนนี้ไปบริหารธุรกิจให้เกิดกำไรสูงสุด ดังนั้นผู้ถือหุ้นต้องมีการศึกษารายละเอียดของธุรกิจนั้นๆ ก่อนการลงทุนเสมอ เช่น การศึกษาเกี่ยวกับงบแสดงฐานะการเงินของธุรกิจที่ช่วยให้เห็นถึงข้อมูลเกี่ยวกับสถานะสินทรัพย์ หนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น งบกำไรขาดทุนจะช่วยให้เห็นถึงผลการดำเนินงาน ซึ่งการศึกษาข้อมูลจะช่วยในการตัดสินใจในการลงทุนกับธุรกิจนั้นๆ

Home

More

Blog