BLOG myAccount Cloud : Page 73

วันหยุดถือเป็นวันพักผ่อนหลังจากที่เราทำงานอย่างหนักมาทั้งสัปดาห์ ซึ่งเราจะได้ใช้เวลาของวันหยุดเพื่อกิจกรรมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ออกกำลังกาย, ท่องเที่ยว, เล่นกีฬา, ทำงานอดิเรกต่างๆ หรือแม้กระทั่งซื้อของตกแต่งบ้าน การทำงานที่ดีจึงต้องสมดุลเวลาทำงาน และเวลาหยุดพักผ่อนควบคู่กันไป เนื่องจากการพักผ่อนในวันหยุดอย่างไม่เต็มที่ส่งผลให้เกิดภาวะ Burnout Syndrome ที่จะลดประสิทธิภาพในการทำงานลง ดังนั้นเราจึงต้องพักผ่อนอย่างเต็มที่ เพื่อประสิทธิภาพการทำงานที่ดียิ่งขึ้น มาดูกันว่าวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ กับการหยุดงานวันอื่นๆ มีข้อดี ข้อเสียต่างกันอย่างไร

ข้อดี – ข้อเสียของการหยุดวันเสาร์-อาทิตย์

สำหรับการทำงานวันจันทร์ – ศุกร์ (หยุดวันเสาร์ – อาทิตย์) ซึ่งเป็นวันทำงานแบบทั่วไปของพนักงานออฟฟิศ ข้าราชการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ มีข้อดีอันดับแรกคือ มีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีลูกในวัยเรียน ที่มักจะหากิจกรรมทำร่วมกับลูกๆ ในวันหยุดสุดสัปดาห์ ทั้งยังได้พักผ่อนแบบเต็มที่กับวันหยุดเสาร์ –อาทิตย์ โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องงานให้วุ่นวายใจ หลายคนอาจจะเคยชินกับการทำงาน 5 วัน/สัปดาห์ จากการปลูกฝังมาตั้งแต่วัยเรียน จนอาจมองข้ามข้อเสียของการหยุดวันเสาร์ – อาทิตย์ไป เช่น ต้องลางานวันธรรมดาเพื่อติดต่อธุระกับราชการ การต้องเจอกับคนจำนวนมหาศาลที่หยุดวันเดียวกันในการซื้อของที่ห้างสรรพสินค้า หรือไปเที่ยวต่างจังหวัดพร้อมกัน เป็นต้น

ข้อดี – ข้อเสียของการหยุดวันอื่นที่ไม่ใช่วันเสาร์-อาทิตย์

ประเภทของงานที่จะไม่ได้หยุดวันเสาร์อาทิตย์ส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มของงานบริการ เช่น Customer Service พนักงานขาย พนักงานที่ให้บริการด้านต่างๆ ในห้างสรรพสินค้า เป็นต้น งานประเภทนี้จะต้องรับมือกับกลุ่มลูกค้าจำนวนมากในวันธรรมดา และลูกค้าจำนวนมหาศาลในวันหยุด ซึ่งต้องใช้แรงการ รวมถึงแรงใจอย่างมาก แต่การทำงานในวันหยุดสุดสัปดาห์ทำให้ได้เงินเพิ่มขึ้นมากหน่อยเหมือนกับเป็นรางวัลให้คนขยัน ข้อดีอีกหนึ่งอย่างของการได้หยุดงานวันธรรมดาก็คือในวันหยุดเราจะไม่ต้องเจอกับกลุ่มคนจำนวนมากที่ต่างก็มาใช้เวลาวันหยุดสุดสัปดาห์ร่วมกันในสถานที่หนึ่ง ในส่วนของข้อเสียก็คือการทำงานถึง 6 วัน/สัปดาห์ และมีวันหยุดเพียงแค่ 1 วันเท่านั้น บางครั้งนั่นก็ไม่เพียงพอต่อการพักผ่อนต่างจังหวัด หรือช่วงวันหยุดยาวก็ได้วันหยุดน้อยกว่าเช่นกัน

อย่างไรก็ตามในการทำงานที่มีลักษณะแตกต่างกัน ย่อมทำให้ได้รับวันหยุดแตกต่างกันไปด้วย ในการทำงานจึงไม่จำเป็นต้องหยุดวันเสาร์ – อาทิตย์ทุกคน แต่สิ่งสำคัญของการทำงานอยู่ที่คุณภาพในการทำงาน โดยมีส่วนเสริมที่ขาดไม่ได้คือ การบริหารเวลาทำงาน และพักผ่อนให้เหมาะสม เพื่อประสิทธิภาพการทำงานที่ดี

เลือกมองหางานที่ใช่ในสไตล์ของคุณได้ที่ jobsDB

แม้คนที่ทำบัญชีจะเป็นพนักงานบัญชี หรือ นักบัญชีในสำนักงานบัญชี แต่ข้อมูลบัญชีทั้งหมดทั้งมวลของกิจการต้องมาจากกิจการนี่ล่ะ ไม่งั้นทำไม่ได้ ไม่ถูกต้องครบถ้วน มารู้กันว่างานบัญชีของกิจการมีอะไรบ้าง และเป็นหน้าที่ของใคร

นักบัญชีมืออาชีพทุกท่าน ผมว่าเราก็ผ่านการทำรายการปรับปรุงบัญชีกันมาก็เยอะแล้ว และตอนนี้ก็คงถึงเวลาแล้วที่พวกเราต้องจัดทำรายการปรับปรุง (Adjustment) กับตัวเองกันเสียบ้าง เราลองมาสละเวลา และปากกา วางเครื่องคิดเลข เปิดตา เปิดใจ เปิดรับสิ่งใหม่ พร้อมกับตั้งใจเรียนรู้กันซะหน่อย เพราะเรื่องที่ดูจะวุ่นวาย ซับซ้อนก็อาจจะกลับกลายเป็นช่องทางของเราต่อไปในอนาคตได้ และอีกประการหนึ่งที่สำคัญเช่นกันก็คือมันเป็นเรื่องใกล้ตัวเรามาทุกที ครั้นจะไม่รับรู้ก็คงไม่ได้ เอาละไม่ต้องเสียเวลาพูดพร่ำทำเพลงกันนาน เล่าสู่กันฟังเลยละกัน

งานบัญชี (Accounting) เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการทางบัญชี รวมถึงการบันทึก จัดเก็บ รวบรวม และตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารทางบัญชี บันทึกรายรับรายจ่าย ตลอดจน การจัดทำรายงานทางการเงิน โดยผู้ที่ทำหน้าที่ดังกล่าว เรียกว่า “นักบัญชี” ซึ่งต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะทาง เรียนจบมาทางสายงานบัญชี และต้องมีประสบการณ์ด้านบัญชีมาพอสมควร

เทคโนโลยี (Technology) และเครือข่ายอินเตอร์เน็ต (Internet networking) นอกจากจะช่วยให้ชีวิตประจำวันของสังคมง่ายขึ้นแล้ว อินเตอร์เน็ตยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจ (Business opportunities) และการลงทุน (Investment)ให้มีความหลากหลายมากขึ้นจากอดีต และช่วยขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจโลกให้เติบโตก้าวหน้ายิ่งขึ้นอีกด้วย

นวัตกรรมการกู้ยืมเงิน Peer-to-Business (P2B) และ Peer-to-Peer (P2P) แม้ว่าจะเป็นนวัตกรรมทางการเงินที่ใหม่ และอาจจะไม่ได้รับความคุ้นชินจากคนไทยมากนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่าในช่วงที่ผ่านมา ชื่อของการกู้ยืมแบบ P2B และ P2P ถูกพูดถึงมากขึ้นทุกๆ วัน นั่นก็เป็นเพราะบริการการกู้ยืมเงินรูปแบบนี้ประสบความสำเร็จและเป็นที่ประจักษ์ต่อนักลงทุนและผู้ประสบปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนแล้วว่าเป็นบริการที่ช่วยแก้ปัญหาได้จริง ทั้งยังเป็นโอกาสที่ดีให้ทั้งนักลงทุนและผู้กู้ได้เป็นอย่างมาก จนบริการรูปแบบนี้ถูกพัฒนาและต่อยอดไปได้ในหลายๆ ประเทศ

ความก้าวหน้าของโลกในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี (Technology) ความก้าวหน้าด้านอุตสาหกรรม (Industrialization ) และนวัตกรรม (Innovation) ใหม่ๆ แม้จะส่งผลดีและเสริมสร้างพัฒนาการความก้าวหน้าต่อระบบเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี โดยการสร้างกระแสเงินหมุนเวียนภายในเศรษฐกิจและธุรกิจหลากหลายแขนงได้อย่างมหาศาล แต่ความเจริญก้าวหน้าต่างๆ ก็มักจะต้องแลกมาด้วยผลประโยชน์ต่อสาธารณะที่ศูนย์เสียไปด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ผลกระทบต่อสังคมและชีวิตความเป็นอยู่ เช่นการเอาเปรียบพนักงาน การเอาเปรียบคู่ค้าที่ไม่มีกำลังในการต่อรอง หรือแม้กระทั่งการเอาเปรียบผู้บริโภคเอง เป็นต้น หรือผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่าง มลพิษทางอากาศจากโรงงานอุตสาหกรรม

หลายๆ คนอาจทราบดีถึงกลไกการบริหารเงินฝากของสถาบันทางการเงินหรือธนาคาร การสร้างรายได้ของสถาบันการเงินหรือธนาคารก็มาจากการเก็บดอกเบี้ยจากการให้สินเชื่อ ดอกเบี้ยจากการลงทุนในตราสารทางการเงินต่างๆ เป็นต้น ซึ่งอัตราดอกเบี้ยเหล่านี้ ก็จะต้องมากกว่าค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการดำเนินการของสถาบันการเงินและธนาคาร และต้องมากกว่าอัตราดอกเบี้ยที่จะต้องจ่ายออกไป ซึ่งดอกเบี้ยที่สถาบันทางการเงินและธนาคารต้องจ่ายออกไปหลักๆ เช่น ดอกเบี้ยเงินฝาก (Deposits) นั่นเอง โดยส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยที่สถาบันทางการเงินได้รับ (Interest Income) และดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายออกไป (Interest paid out) เรียกว่า “Net Interest Margin” (NIM)

เชื่อหรือไม่ว่า ผลสำรวจหลายแห่งพบว่าคนที่เกิดในช่วงปี 1980-2000 หรือคนใน Generation X และ Y มีพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยมากกว่าคนในเจเนอเรชั่นก่อน และยังมีสถิติการออมเงินน้อยกว่าอีกด้วย จากสถิติของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า 50% ของคนทำงานกลุ่ม Gen Y ไม่มีเงินออม นอกจากนี้ในต่างประเทศ ผลสำรวจโดย Bankrate.com พบว่าคน Gen X และ Gen Y เลือกรับประทานอาหารนอกบ้านมากถึง 5 วันต่ออาทิตย์

Home

More

Blog