บัญชีโคตรง่าย

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับน้องๆที่กำลังตัดสินใจเข้าเรียนในคณะบัญชีน่ะครับ มีน้องๆหลายคนมีคำถามว่าเรียนจบคณะบัญชีแล้วจะไปทำงานอะไรได้บ้าง พี่ในฐานะคนบัญชีที่ทำงานอยู่ในวงการนี้มาประมาณ 8 ปี จึงอยากแชร์ประสบการณ์ให้ฟังว่า คนที่เรียนจบบัญชีนั้นสามารถไปทำงานได้ในหลากหลายสาขาอาชีพ แต่หลักๆแล้วก็จะมี ผู้ทำบัญชี และผู้ตรวจสอบบัญชี

เพื่อนๆที่เป็นผู้ตรวจสอบบัญชีทราบหรือไม่ว่าในปี 2557 ที่กำลังจะถึงนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเรื่องของการควบคุมคุณภาพงานสอบบัญชี ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลกระทบต่อผู้สอบบัญชีทุกท่านในแง่ของการทำงาน โดยทาง สภาวิชาชีพบัญชีฯ ได้ประกาศบังคับใช้ มาตรฐานการควบคุมคุณภาพ ฉบับที่ 1 การควบคุมคุณภาพสำหรับสำนักงานที่ให้บริการด้านการตรวจสอบและการสอบทานงบการเงิน และงานให้ความเชื่อมั่นอื่นตลอดจนบริการเกี่ยวเนื่อง (ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชีฯ ที่ 9/2554) ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2557 เป็นต้นไป โดยมีเนื้อหาใจความสำคัญดังต่อไปนี้

หลายปีมานี้ ถือว่าประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการการเปลี่ยนผ่าน จากเดิมที่ต้องเตรียมเงินสดออกจากบ้านทุกครั้ง มาสู่ “สังคมไร้เงินสด” หรือ Cashless Society ที่ไม่ต้องจำเป็นพกเงินแม้แต่เหรียญเดียว ก็สามารถซื้อของหรือชำระค่าบริการได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ผ่านช่องทางการชำระเงินหลากหลายรูปแบบ ทั้ง บัตรเครดิต บัตรเดบิต บัตรเติมเงิน e-wallet พร้อมเพย์ mobile banking แน่นอนว่าสังคมไร้เงินสดนี้นำมาซึ่งข้อดีมากมาย ดังนี้

งานด้านบัญชีเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจทุกประเภท ทำให้นักบัญชีเป็นที่ต้องการของหลายๆ บริษัท และเมื่อมีการเปิดสมาคมเศรษฐกิจอาเซียนก็ทำให้อาชีพด้านบัญชีมีอิสระมากขึ้น สามารถไปทำงานประเทศใดก็ได้ในอาเซียน สำหรับน้องๆ คนไหนที่ตั้งใจอยากจะเรียนต่อในสาขาด้านบัญชี แต่ยังไม่รู้จะเตรียมตัวยังไงกับการเรียนที่ต้องเจอในมหาวิทยาลัย บทความนี้เราได้รวบรวมทักษะที่จำเป็นในการเรียนบัญชี มาให้น้องๆ เพื่อจะได้ไปฝึกและเตรียมตัวกันก่อนที่จะเข้าไปเรียน ดังนี้

ลักษณะงานผู้สอบบัญชี ถือว่าเป็นงานที่มีความท้าทายอย่างหนึ่ง คือเราจะได้เห็นงานในแต่ละธุรกิจมากมาย ได้รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน ได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น เป็นเรื่องแปลกใหม่ที่น่าตื่นเต้นและสนุกที่จะได้เรียนรู้ บางคนอาจจะคิดว่างานของผู้สอบบัญชีเป็นงานที่น่าเบื่อ ต้องอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์และตัวเลขตลอดเวลา แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลย งานผู้สอบบัญชีมีความหลากหลายและท้าทายมาก

ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีโดยส่วนใหญ่มักไม่ค่อยรู้ว่าเมื่อไหร่จะถึงเวลาต้องกู้เงินเพิ่ม และไม่รู้ว่าจะต้องกู้เพิ่มเท่าไหร่ดี การกู้เงินไม่ใช่แค่คิดขึ้นมาลอยๆ ว่าอยากกู้เงินก็เดินไปขอสินเชื่อที่ธนาคาร มาดูกันว่าสัญญาณบอกเหตุอะไร ที่จะทำให้คุณรู้ว่าถึงเวลาแล้วที่ธุรกิจของคุณต้องการเงินทุนเพิ่ม

ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในบ้านเราส่วนใหญ่เริ่มต้นธุรกิจมาจากเจ้าของคนเดียวหรือธุรกิจครอบครัวคนกันเอง ใช้เงินส่วนตัวมาลงทุนก่อร่างสร้างธุรกิจ จึงมักจะรู้สึกว่าเงินตัวเองกับเงินบริษัทก็คือเงินก้อนเดียวกัน เมื่อธุรกิจทำเงินงอกเงยก็หยิบเอาไปใช้จ่ายเรื่องส่วนตัว ไม่จริงจังกับการแยกเงินเท่าไรนัก คิดว่าเหมือนกับการโยกเงินจากกระเป๋าซ้ายย้ายไปใส่กระเป๋าขวา แต่รู้หรือไม่ว่ามีธุรกิจเอสเอ็มอีที่เจ๊งเพราะใช้เงินปนกันเช่นนี้มานักต่อนักแล้ว ลองมาดูว่าการไม่แยกเงินส่วนตัวออกจากเงินธุรกิจนั้นสร้างความเสียหายได้อย่างไรบ้าง

ไม่มีใครอยากทำงานแทบตาย แต่เงินที่ได้เอาไปใช้หนี้หมด... ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีคงเข้าใจประโยคนี้ดีกว่าใคร เพราะกว่าจะฝ่าฟันทำธุรกิจจนมีรายได้เข้ามาแต่ละก้อนนั้นเลือดตาแทบกระเด็น พอถึงสิ้นเดือนกลับต้องเอาเงินไปจ่ายดอกเบี้ยหมด สุดท้ายคนทำธุรกิจก็แทบจะไม่เหลืออะไร

ผู้ประกอบการมือใหม่หลายๆคน มักคิดว่าการดำเนินการจัดตั้งบริษัทด้วยตนเองนั้นเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและ ยุ่งยากเกินความสามารถ จึงเลือกที่จะไปว่าจ้างบริษัทหรือบุคคลที่มีความรู้เฉพาะทางมาดำเนินการแทน ทั้งที่จริงๆแล้วขั้นตอนการจัดตั้งบริษัทนั้นก็ไม่ได้มีวิธีที่ซับซ้อนแต่ อย่างใด และถ้าหากท่านสามารถดำเนินการเองได้ก็จะสามารถลดค่าใช้จ่ายในส่วนของการว่า จ้างไปได้อีกด้วย

ความดิ้นรนอัตคัดของคนในสังคมทำให้โหยหาสิ่งที่เรียกว่า 'เงิน' บางคนถึงกับให้นิยามของคำว่า 'เงิน คือ พระเจ้า' แม้กระทั่งเด็กตัวเล็กๆ วัยรุ่น หรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่ตัวโตๆก็ต้องการสิ่งนี้